ปัสสาวะเล็ด (Stress Urinary Incontinence; SUI) คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ด นั้นมักจะมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย ไม่กล้าบอกใคร และมาพบแพทย์เมื่อมีอาการมากๆ แล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วภาวะปัสสาวะเล็ดนั้นสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แม้ในบางครั้งอาจจะไม่ได้หายขาด แต่ก็จะสามารถรับมือกับภาวะปัสสาวะเล็ดโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้
อาการ ปัสสาวะเล็ด คืออะไร?
ปัสสาวะเล็ด คือ อาการที่มีปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่ตั้งใจ และไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของความดันในช่องท้อง ยกตัวอย่างเช่น เวลา ไอ จาม ยกของหนัก ออกกำลังกาย หรือแม้แต่เวลาหัวเราะ ซึ่งในขณะนั้นเราไม่ได้รู้สึกปวดปัสสาวะหรืออยากจะปัสสาวะเลย ซึ่งปัสสาวะที่เล็ดออกมาก็อาจจะไม่ได้มีปริมาณมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราได้ และ อาการปัสสาวะเล็ดสามารถเจอได้ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
ภาวะปัสสาวะเล็ดนั้นมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบในผู้หญิง 25% ทั่วโลก และสำหรับประเทศไทยจะมีอุบัติการณ์ประมาณ 20% ของผู้หญิงตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ถึงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งก็จะพบได้บ่อยในคนสูงอายุ ภาวะนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้หญิงแย่ลง ส่งผลกระทบทั้งทางสังคมและจิตใจ
ปัสสาวะเล็ด เกิดจากสาเหตุอะไร
ปัสสาวะเล็ด (Stress Urinary Incontinence; SUI) เป็นผลมาจากการที่ตัวหูรูดท่อปัสสาวะหดรัดตัวได้ไม่ดี หรือมีความเสื่อมของท่อปัสสาวะ (intrinsic sphincter deficiency: ISD) รวมถึงมีการหย่อนตัวของท่อปัสสาวะและคอกระเพาะปัสสาวะ (bladder neck) การหย่อนตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้ไม่สามารถยึดพยุงท่อปัสสาวะไว้ได้ ดังนั้นเมื่อมีการเพิ่มความดันในช่องท้องอย่างกะทันหัน เช่น จากการที่ผู้สูงอายุ ไอ จาม หัวเราะ วิ่ง ก้าวขึ้นบันได หรือก้มลงยกของหนักๆ แรงดันที่เพิ่มขึ้นในช่องท้องที่ลงมายังกระเพาะปัสสาวะ ไม่สามารถถ่ายทอดลงสู่ท่อปัสสาวะได้ จึงทำให้แรงดันในกระเพาะปัสสาวะสูงกว่าท่อปัสสาวะ ปัสสาวะจึงเล็ดออกมา (ปัสสาวะจะเล็ดประมาณ 5-10 มิลลิลิตรต่อครั้ง)
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะ สาวะเล็ด มีอะไรบ้าง
- อายุ ในผู้หญิงที่อายุมากขึ้นจะพบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ได้มากขึ้น
- การตั้งครรภ์ ในขณะตั้งครรภ์จะพบภาวะปัสสาวะเล็ดได้ในบางราย แต่เป็นการเกิดชั่วคราว และอาจจะหายได้หลังจากคลอดบุตรแล้ว
- การคลอดบุตร มักพบในรายที่ทารกคลอดผ่านช่องคลอดและสัมพันธ์กับระยะเวลาคลอด โดยเฉพาะถ้าทารกที่มีน้ำหนักแรกคลอดมาก
- จำนวนบุตรที่มากขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นตามลำดับ
- ภาวะที่เพิ่มความดันในช่องท้อง ได้แก่ ความอ้วน ไอ จาม หอบเรื้อรัง ท้องผูก ยกของหนักเป็นประจำ
- สำหรับผู้ชายพบในผู้สูงอายุที่เคยผ่าตัดต่อมลูกหมาก
วิธีแก้ - รักษาอาการปัสสาวะเล็ด
- การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน (lifestyle intervention)
- การลดน้ำหนัก ในผู้ป่วยที่มีนํ้าหนักตัวเกิน หรือเป็นโรคอ้วน เพื่อลดความดันในช่องท้อง
- การรับประทานอาหารที่มีกากใย ร่วมกับฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาเพื่อลดปัญหาท้องผูก จะมีส่วนช่วยลดความดันในช่องท้อง
- การงดยาที่เป็นสาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
- การรักษาอาการไอ จาม เรื้อรัง
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor exercise หรือ Kegel exercise)
ด้วยการขมิบช่องคลอด ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือการฝึกขมิบกล้ามเนื้อที่หุ้มรอบและทำหน้าที่ประคองท่อปัสสาวะ ซึ่งสามารถทำได้ในทุกอริยาบถ โดยการขมิบที่ถูกต้องต้องขมิบเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานเท่านั้น คล้ายกับเวลากลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะ โดยไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือต้นขาร่วมด้วย
ขมิบแต่ละครั้งทำค้างไว้ 10 – 20 วินาที แล้วคลายออกในเวลาเท่ากัน แล้วจึงเริ่มขมิบใหม่ สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยระยะแรกอาจทำเพียงน้อยครั้งแล้วจึงเพิ่มขึ้นทั้งระยะเวลาและความถี่เมื่อชำนาญมากขึ้น ซึ่งจะต้องทำการฝึกไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จึงมักจะประสบปัญหาที่ผู้ป่วยมักจะไม่มีความอดทนพอ ทำให้ไม่สามารถทำการรักษาให้มีประสิทธิภาพได้ วิธีการนี้จะต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่ถ้าหากผู้ป่วยสามารถทำได้ อาการก็จะดีไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองการรักษาอื่นๆ
3. การใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเรียกว่า Functional Magnetic Stimulation (FMS) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้หดรัดตัว ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยตนเองได้หรือทำได้ไม่ถูกวิธี โดยคลื่นพลังงานจะเข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดเกร็งและคลายตัวเป็นจังหวะแบบอัตโนมัติ
Tesla Former Chair
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว หรือหลังส่วนล่างให้แข็งแรง
โดยการนั่งเก้าอี้ที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเฉพาะเจาะจง (FMS) ออกมา ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดเกร็งและคลายเป็นจังหวะต่อเนื่อง เหมือนกับได้ออกกำลังด้วยการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งกราน (Kegel Exercise) 50,000 ครั้งตลอดเวลา 30 นาที มีความปลอดภัย ไม่ใช่การผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใส่เสื้อผ้าได้ตามปกติ แล้วแค่นั่งลงพิงเก้าอี้สบายๆ 30 นาที หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม
- การใช้ยารักษาปัสสาวะเล็ด ยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาในปัจจุบันยังไม่มีใช้กว้างขวางเนื่องจากมีอาการข้างเคียงมาก ในประเทศไทยยังไม่ได้นำยานี้มาใช้
- การใช้อุปกรณ์รองซับ โดยการออกแบบมาเป็นผ้ารองซับ หรือกางเกง แล้วแต่ผู้ป่วยแต่ละราย มักจะเลือกใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุมาก ไม่สามารถใช้การรักษาอื่นๆ ได้ หรือมีข้อห้ามในการผ่าตัดเป็นต้น
ซึ่งการรักษาที่กล่าวมานั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง อาการจะดีขึ้นภายใน 3 – 6 เดือน แต่ถ้ารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ต้องใช้การผ่าตัดเข้าช่วย ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
- การผ่าตัดผ่านทางหน้าท้อง โดยการเย็บซ่อมแซมและตึงเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะเข้าเอ็นที่ยึดบริเวณใกล้เคียงให้มีความแข็งแรงขึ้น
- โดยใช้วัสดุเทปสังเคราะห์ผ่านทางช่องคลอด แล้ววางที่ใต้ต่อท่อปัสสาวะเพื่อเสริมความแข็งแรง วิธีนี้ได้รับความนิยมในปัจจุบันเมื่อเทียบกับการผ่าตัดทางหน้าท้อง เนื่องจากทำได้รวดเร็ว สะดวก ฟื้นตัวเร็ว และยังไม่มีแผลหน้าท้อง
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography