โรคกลัวรู (Trypophobia) อาการ สาเหตุ และวิธีรับมือ

โรคกลัวรู

โรคกลัวรู (Trypophobia) เป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัวหรือขยะแขยงเมื่อเห็นรูหรือหลุมที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นรูที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ฝักเมล็ดบัว รังผึ้ง ฟองน้ำ หรือแม้แต่ผิวหนังของสัตว์บางชนิด อาการที่เกิดขึ้นอาจมีตั้งแต่ความรู้สึกอึดอัด ขนลุก คลื่นไส้ ไปจนถึงอาการรุนแรงเช่น ตัวสั่นหรืออาเจียน แม้ว่าโรคนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในวงการแพทย์ว่าเป็นโรคจิตเวช แต่ผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยจิตแพทย์ การรักษาอาจรวมถึงการบำบัดทางจิตวิทยาและการใช้ยาต้านซึมเศร้าในบางกรณี เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับอาการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โรคกลัวรูคืออะไร ?

Trypophobia มาจากคำว่า trypa (ภาษากรีกแปลว่า “รู”) และ phobia (ความกลัว) เมื่อรวมกันจึงหมายถึงความกลัวรูเล็ก ๆ จำนวนมาก โรคนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านอินเทอร์เน็ตในช่วงปี 2009 และมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก และเรดดิทโรคกลัวรูอาจทำให้ผู้ที่มีอาการรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรงเมื่อเห็นภาพหรือวัตถุที่มีรูหรือหลุมเป็นกลุ่ม ๆ เช่น รูในผิวหนังของผลไม้หรือรูในพื้นผิวของวัสดุต่าง ๆ ผู้ที่มีอาการนี้อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือวัตถุที่อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

อาการของโรคกลัวรู

ผู้ที่มีอาการโรคกลัวรูมักจะรู้สึกขยะแขยง สะอิดสะเอียน หรืออึดอัดเมื่อเห็นรูหรือหลุมที่มีลักษณะเป็นกลุ่ม ๆ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ขนลุก : รู้สึกว่าผิวหนังยกขึ้นและมีขนลุกเมื่อเห็นรูหรือหลุม
  • คลื่นไส้ : รู้สึกไม่สบายท้องและอาจมีอาการอาเจียน
  • อาเจียน : ในบางกรณีอาจมีการอาเจียนเกิดขึ้นจริง
  • ตัวสั่น : รู้สึกว่าร่างกายสั่นหรือมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • หายใจไม่ออก : รู้สึกว่าหายใจลำบากหรือหายใจไม่เต็มที่
  • เหงื่อออกมาก : มีการเหงื่อออกมากกว่าปกติ
  • หัวใจเต้นเร็ว : รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วหรือแรงกว่าปกติ
  • เวียนหัว : รู้สึกว่าหมุนหรือไม่สามารถทรงตัวได้
  • รู้สึกไม่สบายตา : รู้สึกว่าตาไม่สบายหรือมีอาการปวดตา
  • ความรู้สึกอยากหลีกหนีจากภาพหรือวัตถุที่เห็น : มีความต้องการที่จะหลีกหนีหรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความกลัว

อาการเหล่านี้อาจรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เกิดภาวะช็อกหรือเป็นลมได้

สาเหตุของโรคกลัวรู

สาเหตุของโรคกลัวรู

สาเหตุของโรคกลัวรูยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่นักวิจัยมีทฤษฎีหลายประการที่อาจอธิบายได้

  1. วิวัฒนาการ : บางคนเชื่อว่าโรคกลัวรูเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์ต้องหลีกเลี่ยงสัตว์ที่มีพิษหรือเชื้อโรค เช่น งู แมงป่อง หรือแมลงที่มีลักษณะเป็นรูหรือหลุม การหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้มนุษย์รอดชีวิตจากภัยคุกคามทางธรรมชาติ
  2. รักษาในวัยเด็ก : การมีการรักษาที่ไม่ดีในวัยเด็กเกี่ยวกับรูหรือหลุมอาจทำให้เกิดความกลัวในภายหลัง เช่น การถูกแมลงกัดหรือการมีการรักษาที่ไม่ดีเกี่ยวกับรูในผิวหนัง
  3. ความผิดปกติทางสมอง : บางคนอาจมีความผิดปกติในการทำงานของสมองที่ทำให้เกิดความกลัวรู การทำงานของสมองที่ผิดปกติอาจทำให้เกิดการตอบสนองทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมต่อรูหรือหลุม
  4. พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม : การมีครอบครัวที่มีความวิตกกังวลมากเกินไปอาจมีผลต่อการพัฒนาของโรคกลัวรู การเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่มีความเครียดสูงอาจทำให้เกิดความกลัวรูได้

วิธีรับมือกับโรคกลัวรู

การรับมือกับโรคกลัวรูสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

  1. การบำบัดด้วยการเผชิญหน้า (Exposure Therapy) : การเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยลดความกลัวและความขยะแขยง การบำบัดนี้อาจเริ่มจากการดูภาพรูหรือหลุมที่ไม่รุนแรงและค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงของภาพที่ดู
  2. การบำบัดทางจิตวิทยา (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) : การพูดคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความกลัว การบำบัดนี้อาจช่วยให้ผู้ที่มีอาการสามารถควบคุมความกลัวและความขยะแขยงได้ดีขึ้น
  3. การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย : การฝึกหายใจลึก ๆ การทำโยคะ การทำสมาธิ หรือการฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับโรคกลัวรู
  4. การใช้ยา : ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาต้านซึมเศร้า (SSRIs) ยากล่อมประสาท (Benzodiazepines) หรือยาเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blockers) เพื่อช่วยลดอาการวิตกกังวล การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  5. การดูแลตนเอง : การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับเพียงพอ และการหลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับโรคกลัวรู

วิธีการทดสอบโรคกลัวรู

การทดสอบโรคกลัวรูสามารถทำได้หลายวิธี โดยมีทั้งการทดสอบด้วยตัวเองและการทดสอบโดย ดังนี้

  1. การทดสอบด้วยตัวเอง : ผู้ป่วยสามารถทดสอบด้วยการดูภาพหรือวิดีโอที่มีรูหรือรูปแบบที่ไม่สม่ำเสมอ หากรู้สึกขยะแขยง คลื่นไส้ หรือมีอาการทางร่างกายอื่น ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคกลัวรู
  2. การทดสอบโดย : นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์สามารถใช้เครื่องมือทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อประเมินระดับความกลัวและความรุนแรงของอาการ โดยการสัมภาษณ์และการใช้แบบสอบถาม

การรักษาโรคกลัวรู

การรักษาโรคกลัวรู

การรักษาโรคกลัวรูควรทำโดยทางจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ โดยวิธีการรักษาที่นิยมใช้ ได้แก่

  1. การบำบัดด้วยการเผชิญหน้า (Exposure Therapy) : การเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยลดความกลัวและความขยะแขยง การบำบัดนี้อาจเริ่มจากการดูภาพรูหรือหลุมที่ไม่รุนแรงและค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงของภาพที่ดู 
  2. การบำบัดทางจิตวิทยา (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) : การพูดคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความกลัว การบำบัดนี้อาจช่วยให้ผู้ที่มีอาการสามารถควบคุมความกลัวและความขยะแขยงได้ดีขึ้น
  3. การใช้ยา : ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาต้านซึมเศร้า (SSRIs) ยากล่อมประสาท (Benzodiazepines) หรือยาเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blockers) เพื่อช่วยลดอาการวิตกกังวล การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

สรุป

โรคกลัวรูเป็นภาวะทางจิตที่ทำให้ผู้ที่มีอาการรู้สึกขยะแขยงหรือกลัวเมื่อเห็นรูหรือหลุมที่มีลักษณะเป็นกลุ่ม ๆ แม้ว่าสาเหตุของโรคนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่การรักษาและการรับมือสามารถทำได้โดยการบำบัดทางจิตวิทยา การใช้ยา และการดูแลตนเอง การรับมือกับโรคนี้อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผู้ที่มีอาการสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และรักษาที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนารักษาที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า