หนังตาตก หรือ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นอีกปัญหาสำหรับใครหลายคน นอกจากจะทำให้ใบหน้าดูเศร้า ไม่สดใสแล้ว ในบางคนอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพ หรือหากเป็นรุนแรงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้อีกด้วย วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับหนังตาตก กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง กัน! ว่า หนังตาตกเกิดจากอะไร? แก้ไขหนังตาตกวิธีไหนดี?
หนังตาตก หรือ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง คืออะไร?
ภาวะ หนังตาตก (Ptosis or drooping eye lid) คือ อาการที่เปลือกตาตกมากกว่าปกติ หรือชื่อทางการแพทย์เรียกว่า Ptosis เนื่องจากกล้ามเนื้อ Levator palpebrae superioris ซึ่งมีหน้าที่ในการพยุงเปลือกตาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมมีปัญหา จึงทำให้เปลือกตาตกหรือหย่อนตามแรงโน้มถ่วง เป็นเหตุให้กระทบการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
สาเหตุของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หนังตาตก เกิดจากอะไร?
แบ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
- เป็นตั้งแต่กำเนิด หรือ พันธุกรรม (Congenital Ptosis) ส่วนใหญ่พบในเด็ก และอาจทำให้เด็กบางคนมีปัญหาสายตา เช่น ตาขี้เกียจหรือตาเหล่ได้ในภายหลัง
- เป็นภายหลัง (Acquired Ptosis) อาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือได้รับการกระทบกระเทือนกล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตามาก่อน หรือเป็นสาเหตุจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคประสาทและสมอง หรือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthemia gravis)
- ปัจจัยเรื่องอายุ (Senile Ptosis) กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงจากสาเหตุนี้พบได้ในผู้สูงอายุ แบบนี้มักจะเป็นทั้งสองข้าง
- ปัจจัยอื่นๆ เช่นการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตาตกได้
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากอายุที่มากขึ้นทำให้เกิดริ้วรอยและถุงใต้ดวงตา
นอจกากนี้ นายแพทย์ Perry ชี้ให้เห็นปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ประกอบกันทำให้เกิดปัญหาด้านความงามรอบ ๆ ดวงตาของคุณจนทำให้เกิด หนังตาตก เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้
- ผิวหนังที่หย่อนคล้อยทำให้มีรอยเหี่ยวย่นและถุงใต้ตา
- เนื้อเยื่อไขมันสะสมเพิ่มมากขึ้น ทำให้เปลือกตาทั้งบนและล่างดูบวมมากขึ้น
- รอบดวงตาดำคล้ำมากขึ้น
- หนังตาตกจากการที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแรงมากขึ้นตามอายุ
- รอยย่นใต้ดวงตาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น
ผู้หญิงหลาย ๆ คน รวมถึงผู้ชายอีกจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มเสาะหาวิธีศัลยกรรมความงามที่จะมาแก้ปัญหาหนังตาตก และรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาให้กับตัวเอง ซึ่งโดยมากแพทย์จะแบ่งวิธีการแก้ปัญหานี้ออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ วิธีที่ไม่ใช้การผ่าตัด และวิธีที่รักษาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม
การรักษาหนังตาตก กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
การรักษาหนังตาตก ที่เกิดจากอายุที่มากขึ้นจะต้องเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของผิวหนังที่ทำให้เกิดปัญหานี้เป็นสำคัญ” นายแพทย์ Julian Perry จักษุแพทย์และศัลยแพทย์ตกแต่งดวงตาจาก Cleveland clinic กล่าวไว้ แม้ว่าปัญหาหนังตาตกจะดูเป็นปัญหาด้านความงามเป็นหลักสำหรับผู้คนทั่วไป แต่ปัญหาหนังตาตกนี้ยังสามารถ ทำให้เกิดปัญหาด้านการมองเห็น ด้วยสำหรับบางคน
การรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หนังตาตก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุ รายที่เป็นรุนแรงอาจทำให้รบกวนการมองเห็นเนื่องจากหนังตาตกจนบดบังทัศนวิสัย ทำให้เสียบุคลิก เพราะต้องเงยหน้าหรือยกคางตลอดเวลาเพื่อเพิ่มลานสายตาและช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น หากมีอาการรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน จักษุแพทย์ผู้รักษาจะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อแก้ไขกล้ามเนื้อ Levator palpebrae superioris หรือใช้วิธี Sling Operation คือการใช้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากมาช่วยในการพยุงกล้ามเนื้อเปลือกตาเพื่อแก้ปัญหาหนังตก
ในกรณีกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงในเด็ก หรือที่ส่วนใหญ่เป็นมาแต่กำเนิด และเนื่องจากเด็กที่มีปัญหานี้อาจทำให้เกิดปัญหาสายตาตามมาภายหลังอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว จักษุแพทย์โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผ่าตัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ คือ
- อายุ
- มีปัญหาทั้งสองข้างหรือข้างเดียว
- ระดับของเปลือกตา
- ความแข็งแรงกล้ามเนื้อเปลือกตา
- การเคลื่อนไหวของตาทั้งสองข้าง
แต่ไม่ว่าจะได้รับการผ่าตัดหรือไม่ เด็กที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงก็ยังจำเป็นต้องพบจักษุแพทย์สม่ำเสมอ เนื่องจากตาของเด็กมีการเจริญเติบโตขึ้นตามอายุที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงการมองเห็นหรือการรับภาพได้ ส่วนจะต้องพบแพทย์ถี่แค่ไหน ขึ้นอยู่ปัจจัยของเด็กแต่ละคนและความเห็นของแพทย์ผู้รักษา
ในกรณีที่ไม่สะดวกในการผ่าตัด หรือร่างกายไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด อีกวิธีในการแก้ไขคือ การใช้แว่นตาพิเศษที่มีส่วนค้ำยันเสริมบริเวณเปลือกตา หรือ Ptosis Crutch หรือฝนกรณีที่หนังตาหย่อยอย่างเดียวจนบัง สามารถทำ Thermage ยกกระชับเฉพาะหนังตาได้
กลับสู่สารบัญการรักษา หนังตาตก และรอยเหี่ยวย่นโดยไม่ใช้การผ่าตัด
การฉีดผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของโบทูลินุมและสารเติมเต็มที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยทำให้ใต้ดวงตาเต่งตึงขึ้น และทำให้ริ้วรอยดูจางลงได้
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คนที่เลือกใช้วิธีนี้จำเป็นต้องรู้ คือ ผลิตภัณฑ์พวกนี้ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามอายุ วิธีการออกฤทธิ์นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นายแพทย์เพอร์รี่กล่าวไว้ ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ หรือดิสพอรต ลักษณะการออกฤทธิ์จะเป็นการทำให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ ดวงตาอ่อนแรงลงเป็นหลัก เพื่อให้เวลาคุณยิ้ม ริ้วรอยเหล่านี้จะได้ดูไม่ชัดเจน ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย
ส่วนการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการเติมริ้วรอยที่ลึกแถว ๆ ร่องแก้ม และเปลือกตาล่างให้ดูตื้นขึ้น เมื่อมองดูจะได้เห็นริ้วรอยจางลง
“ผมใช้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ดวงตามาหลายสิบปีแล้ว และส่วนมากจะได้ผลในการเติมริ้วรอยที่จะทำให้เกิดถุงใต้ตา” นายแพทย์เพอร์รี่บอก “แต่มันไม่ใช้วิธีที่ได้ผลยอดเยี่ยมเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งวิธีนี้ก็ทิ้งร่องรอยสีเข้ม หรือรอบช้ำไว้แถว ๆ ที่ได้รับการฉีดฟิลเลอร์ได้เหมือนกัน”
“ทั้งการฉีดฟิลเลอร์ และการฉีกโบท็อกซ์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีต่างกันไป แต่ทั้งสองอย่างก็สามารถทำให้ใบหน้าและดวงตาดูอ่อนเยาว์ลง ได้ผลค่อนข้างดี”
เขายังกล่าวว่าการใช้ทั้งฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ร่วมกันมักจะทำให้เกิดประโยชน์ในการรักษาได้มาก เพราะทั้งสองวิธีก็เหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกัน เมื่อใช้ร่วมกันจึงทำให้ได้ข้อดีของทั้งสองวิธีมารวมกัน
หนังตาที่ตกลง ตามอายุ หรือถุงใต้ดวงตา รวมทั้งริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบ ๆ ดวงตา การฉีดโบท็อกซ์/ฟิลเลอร์ หรือผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหา และทำให้ดวงตาของคุณกลับมาดูสดใสมากยิ่งขึ้นได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
Thermage ตา แก้หนังตาตกโดยไม่ต้องผ่าตัด ปลอดภัย ไม่เจ็บ! ใช้เวลาเพียง 45 นาที
การผ่าตัดศัลกรรมตกแต่งคืออีกขั้นของการคืนความอ่อนเยาว์ให้ดวงตา แก้ไข หนังตาตก
การศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตาเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถตัดผิวหนังและไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ที่เปลือกตาออกไปได้ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นตึงขึ้นหนังตาตกน้อยลง
ถ้าผู้ป่วยคนไหนมีผิวหนังส่วนที่เหี่ยวย่นเกินออกมา ศัลยแพทย์ก็จะตัดผิวหนังส่วนเกินบางส่วนของเปลือกตาล่างออกเพื่อรักษา แต่นายแพทย์เพอร์รี่ก็ยังเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้รับการทำศัลยกรรมจะต้องรับทราบว่าการผ่าตัดผิวหนังใต้ตาออกไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย และเกิดถุงใต้ตา การผ่าตัดผิวหนังส่วนเกินนี้เป็นเพียงการปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
“การทำศัลยกรรมตกแต่งมีจุดประสงค์ก็เพื่อรักษาปัญหาที่เกิดจากกายวิภาครอบดวงตาเป็นสำคัญ เช่น ริ้วรอยตีนกา หรือรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาที่ลึกขึ้นเมื่ออายุมาก” นายแพทย์เพอร์รี่อธิบายให้ฟัง
สำหรับคนไข้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่านี้ ต้องการลดริ้วรอยมาก ๆ จะต้องเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งที่แก้ไขไปจนถึงโครงสร้างลึกลงใต้ผิวหนังด้วย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาจากไขมันส่วนเกินที่ใต้ตา รวมถึงถุงใต้ตาได้
“การผ่าตัดทำศัลยกรรมตกแต่งในสมัยก่อนจะใช้วิธีที่ค่อนข้างเรียบง่ายโดยการตัดไขมันส่วนเกินที่สะสมเป็นถุงใต้ตาออก แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถแก้ไขร่อยรองลึกที่มักจะอยู่ข้างใต้ของถุงใต้ตาอีกทีได้” นายแพทย์เพอร์รี่อธิบาย การผ่าตัดเอาไขมันออกเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าลดลง และทำให้ดูสดใสขึ้นได้ก็จริง แต่ไม่สามารถทำให้ดูอ่อนเยาว์ลงได้มากนัก เขากล่าวไว้
สำหรับการแก้ปัญหาร่อยรอยเหี่ยวย่นที่อยู่ใต้ถุงใต้ตานั้น ศัลยแพทย์มักเลือกที่จะเหลือไขมันบางส่วนไว้แทนที่จะผ่าตัดเอาไขมันส่วนเกินออกทั้งหมด และนิยมนำไขมันบางส่วนออกจากบริเวณที่ไม่ต้องการ แล้วย้ายไขมันที่ได้มาเติมบริเวณร่อยรองที่ดูลึกแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการย้ายไขมันแบบนี้สามารถรักษาปัญหาร่องรอยลึกใต้ตา รวมถึงรอยดำคล้ำรอบดวงตาได้ดีกว่าการฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูโรนิกเสียอีก แต่วิธีนี้ต้องอาศัยการเตรียมการผ่าตัดที่ยุ่งยากกว่าพอสมควร เขาอธิบาย
“เมื่อไหร่ที่เราผ่าตัดย้ายไขมันจากใต้ตาลงไปเติมร่องรอยเหี่ยวย่นเหนือแก้ม นั่นแปลว่าเรากำลังก้าวข้ามความเป็นธรรมชาติไปแล้ว ฉะนั้นแผลที่เกิดขึ้นก็จะหายช้าลง บางครั้งอาจะเกิดก้อนหรือรอยบุ๋มที่เราไม่ต้องการขึ้น ซึ่งร่องรอยเหล่านี้มักใช้เวลานานกว่าจะหาย” เขากล่าวไว้
วิธีที่ดีที่สุดที่คุณควรทำเมื่อรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผิวที่เหี่ยวย่น และหนังตาที่ตกลงเมื่ออายุมากขึ้นก็คือหาเวลาไปพบจักษุแพทย์ โดยเฉพาะจักษุแพทย์ที่มีประสบการณ์มาก ๆ ด้านการทำศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
“พวกเราจะเลือกวิธีการรักษาได้ก็ต่อเมื่อได้ตรวจดูลักษณะทางกายวิภาคของคนไข้แต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปอย่างละเอียด และได้พูดคุยถึงความต้องการในการรักษาของแต่ละคนเสียก่อน” นายแพทย์เพอร์รี่กล่าว
บางคนอาจสงสัยว่า แล้วมีวิธีป้องกันไหม? ซึ่งจริงแล้ววิธีป้องกันการเกิดได้โดยตรงนั้นไม่มี เพียงแต่เมื่อมีปัญหาที่กระทบเรื่องการมองเห็น ควรหลีกเลี่ยงการขับรถหรือการทำกิจกรรมที่อาจเกิดอันตรายได้ง่าย จนกว่าจะได้รับแก้ไขที่ถูกวิธี
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ไม่ว่าจะด้วยการผ่าตัดหรือวิธีอื่น ๆ ต้องอยู่ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์ เพราะการผ่าตัดไม่ว่า เล็กหรือใหญ่ก็มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายและความรุนแรงของแต่ละคน การรักษาแบบเดียวกันอาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน การปรึกษาแพทย์เป็นประจำเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่จะช่วยให้คุณรู้เท่าทันอาการที่เปลี่ยนแปลงและรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก specialistshospital.com waesthetics.com
พญ. รัตตินันท์ ตรีรัตน์ (คุณหมอแต๋ม)
แพทย์ผู้ชำนาญด้านผิวพรรณและเลเซอร์
เกียรตินิยมด้านเวชศาสตร์ความงามจาก American Academy of Aesthetic Medicine
ประสบการณ์มากกว่า 20 ปี