PRP (Platelet Rich Plasma) หรือเกล็ดเลือดในร่างกายของเรานั้น รู้หรือไม่ว่า? มันมีบทบาท หน้าที่สำคัญที่ช่วยในด้านการรักษา และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ร่างกาย ได้มีประสิทธิภาพมากอีกวิธีหนึ่งเลยนะ! รวมถึงนำมาใช้ในกลุ่มของความสวยความงาม ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อช่วยในการฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย ลดใต้ตาคล้ำ กระตุ้นคอลลาเจน ฉีดหน้าใส ซึ่งในวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ PRP กันให้มากขึ้น ไปดูกันว่าสิ่งนี้จะมาช่วยทำให้ผิวที่เสื่อมโทรมกลับมาเป็นผิวที่สวยใสได้อย่างไร? และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำเลเซอร์ หรือลดปัญหาผิวได้จริงหรือ? เราจะพาไปหาคำตอบกัน
ส่วนประกอบของเลือดในร่างกาย
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ส่วนประกอบของเลือดในร่างกายของเรานั้น ประกอบไปด้วยเซลล์หลักๆ 3 ชนิด ซึ่งแต่ละเซลล์จะมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป ได้แก่
- น้ำเลือด หรือ พลาสมา (Plasma) มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลือง
- เซลล์เม็ดเลือด มี 2 แบบ คือ เซลล์เม็ดเลือดแดง และ เซลล์เม็ดเลือดขาว
- เกล็ดเลือด หรือ platelet หรือเรียกสั้นว่า PRP ทำหน้าที่ห้ามเลือด ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
PRP คืออะไร? และสำคัญอย่างไร?
Platelet Rich Plasma (PRP) คือเกล็ดเลือดชนิดหนึ่ง ที่มีความเข้มข้นมากกว่าเกล็ดเลือดในกระแสเลือดทั่วๆ ไปอย่างน้อย 5 เท่า ซึ่งเกล็ดเลือดยิ่งมีความเข้มข้นสูงมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการรักษาจะเห็นผลชัดเจนและรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ในทางการแพทย์ได้มีการศึกษาและพบว่า เกล็ดเลือดนั้นมีความสำคัญและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งในเกล็ดเลือดนั้นจะประกอบไปด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด และมี Growth Factor มากมายหลายชนิด ซึ่งมีส่วนสำคัญที่จะช่วยซ่อมแซม สร้างและส่งเสริมการสร้างเส้นเลือด กระตุ้นการเจริญเติบโต และความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนัง กระดูก คอลลาเจน รวมถึงช่วยให้แผลสมานได้เร็วขึ้น ดังนั้น นวัตกรรมทางการแพทย์ในปัจจุบัน จึงนิยมนำ PRP (Platelet) มาใช้ในการรักษาด้านต่างๆ เนื่องจากเป็นทางเลือกทีมีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย เพราะเป็นเลือดของคนไข้เอง
Platelet ที่มีความเข้มข้นตามมาตรฐานนั้น จะได้จากการเลือดของคนไข้เอง โดยการเจาะเลือดและนำไปผสมกับสารกันเลือดแข็ง จากนั้นเข้าสู่กระบวนปั่นด้วยความเร็วรอบที่เหมาะสม จนเกิดการตกตะกอน หลังการปั่นจนเกิดการตกตะกอน เลือดในหลอดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ
- เลือดสีแดง อยู่ชั้นล่างสุด
- เลือดสีเหลือง หรือ พลาสม่า อยู่ชั้นบนสุดของหลอด
- บับฟี่ โค้ด (buffy coat) หรือ WBC (White blood cell & Platelets) เป็นสารตัวสำคัญที่คั่นกลางระหว่างเลือดแดงและเลือดเหลือง จะมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งตัวนี้แพทย์จะนำมาทำการรักษาในคนไข้นั่นเอง
ประโยชน์ของ PRP
โดยปกติแล้ว.. เกล็ดเลือดจะไหลเวียนอยู่ในระบบเลือดของเราโดยที่ไม่ได้ทำงานตรงจุดไหนเป็นพิเศษ ยกเว้นเมื่อเกิดบาดแผล หรือร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดความเสียหาย เกล็ดเลือดจึงจะเริ่ม active ทำหน้าที่เรียกเซลล์ในร่างกายมาซ่อมแซมบาดแผลนั้น หากเราสามารถนำเกล็ดเลือดในร่างกายออกมาในปริมาณที่เข้มข้นมากพอ ผ่านกระบวนการคัดเลือกสารตัวสำคัญ แล้วฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายในบริเวณที่เราต้องการซ่อมแซม หรือสร้างคอลลาเจนใหม่ ก็จะสามารถฟื้นฟูผิวส่วนนั้นขึ้นมาได้ และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เกล็ดเลือดนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากในหลายๆ ด้าน ซึ่งนอกจากจะนำมาใช้รักษาในทางการแพทย์แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในวงการศัลยกรรมเสริมความงามอีกด้วย
PRP เป็นที่นิยมในศัลยกรรมใบหน้า การลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิว สารสกัดที่ได้จากเกล็ดเลือดจะมี Growth Factor ที่สามารถนำมาใช้กับตัวเอง เหมือนฟิลเลอร์แบบธรรมชาติ ปลอดภัยกับผู้ทำศัลยกรรมสูงกว่าสารประเภทอื่น เนื่องจากใช้เซลล์ที่ซ่อมแซมร่างกาย ทำให้มีผลดีหลายอย่างกับบริเวณที่ฉีด เช่น
- ฟื้นฟูและคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้า
- ฉีดหน้าใส ช่วยให้ผิวใส ฉ่ำน้ำ สุขภาพดี
- เพิ่มคอลลาเจนและความยืดหยุ่นให้กับผิว ผิวฟู
- ช่วยในเรื่องของหลุมสิว รอยสิว หรือรอยแผลเป็นให้น้อยลง หรือเล็กลง
- รักษาฝ้า
- ถ้านำมาฉีดบริเวณหนังศรีษะ ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้
างเซลล์รากผม (Dermal Papilla Cells) และ รากผม (Hair Follicles) ช่วยรักษาอาการผมบาง ผมร่วง ซึ่ง PURE PRP ช่วยทำให้เพิ่มความหนาแน่นเส้ นผมมากขึ้น และเส้นผม ข็งแรงและเส้นใหญ่ขึ้น ได้อีกด้วย - สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอย่างอื่นได้ เช่น เลเซอร์ ทรีทเม้นท์ หรือ ตัว Vital Skin Booster เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยเร่งการสมานแผลต่างๆ เช่น หลังศัลยกรรม แผลดึงหน้า ผ่าตัดหน้าอก หรือผ่าตัดหน้าท้อง
PRP เหมาะกับใครบ้าง?
ถ้าในเรื่องของความสวยความงาม คนที่อยากดูแลตัวเองให้ดูดี คนอายุเยอะ หรือคนที่มีปัญหาผิว สามารถทำ PRP ได้ หรือในกรณีเกิดปัญหาบริเวณผิวหนัง เช่น
- ผิวมีความยืดหยุ่นน้อย เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินลดลง
- ใต้ตาคล้ำ ทำเพื่อฟื้นฟูเนื้อเยือใต้ตาให้อิ่มฟู
- ปัญหาร่องแก้ม
- ริ้วรอยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ หางตา หน้าผาก หรือลำคอ
- บริเวณที่มีแผลเป็น ที่เกิดจากศัลยกรรม หรืออุบัติเหตุ เช่น แผลเป็นนูน แผลเป็นคีลอยด์ แผลเป็นบุ๋ม
- รอยสิว หลุมสิว รอยหลุมลึกบนใบหน้า แต่ไม่อยากทำเลเซอร์ หรือฉีดฟิลเลอร์
- รูขุมขนกว้าง ฉีดผิวหน้าเพื่อกระตุ้นให้รูขุมขนดูเล็กลง ให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- ปัญหาผมร่วง ผมบาง ใช้เกล็ดเลือดในการเพื่อกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ทำเส้นผมที่อ่อนแอกลับมาแข็งแรงขึ้นได้
คนที่ไม่เหมาะกับการทำ PRP
- คนที่เป็นโรคเลือด หรือ เกล็ดเลือดต่ำ
- คนแพ้ยาชา ทายาชาไม่ได้
- คนที่เป็นผื่น สิวอักเสบรุนแรงทั่วหน้า จำเป็นต้องรักษาสิวก่อน
- คนที่เป็นโรคผิวหนังบางชนิด จำเป็นต้องเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ก่อน
Tripple PRP เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมถึง 3 เท่า!
ในปัจจุบันได้มีการศึกษาทดลอง และได้ค้นพบวิธีสกัด PRP แบบใหม่ ที่ให้ความเข้มข้นสูง ซึ่งผลลัพธ์นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า เพราะใช้เทคนิค Activated PRP เข้ามาช่วย เป็นขั้นตอนกระตุ้นให้เกล็ดเลือดพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งเข้มข้น ยิ่งดี? : มีข้อมูลทางงานวิจัยพบว่า ควรใช้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 5 เท่าขึ้นไป และหากยิ่งสกัดได้สูงเท่าไหร่ ก็จะทำให้ผลการรักษาได้ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น และสามารถนำมารักษาทางการแพทย์ได้หลากหลาย
Tripple PRP ดีกว่าแบบเดิมอย่างไร?
แบบใหม่จะเพิ่มขั้นตอนขึ้นมาอีก 1 ขั้น ซึ่งเป็นการนำเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูงที่สกัดได้นั้น มาผ่านกระบวนการกระตุ้นด้วยเวชภัณฑ์ปลอดเชื้อ ผ่านแรงเสียดทานด้วย capillary tube ขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มระดับ Growth Factor ให้สูงขึ้นถึง 2 เท่า เพื่อเร่งกระบวนการรักษา ฟื้นฟู ให้เห็นผลไวยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะเรียกขั้นตอนนี้ว่าการ Activated PRP
จากเดิมที่เกล็ดเลือดที่ถูกสกัดออกมา อาจจะยังไม่ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว พร้อมที่จะทำงาน และเมื่อฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย เกล็ดเลือดก็อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่มากนัก เพราะฉะนั้นจึงมีขั้นตอน Activated เพิ่มเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิ์ภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
แน่นอนว่าการทำ Activated นั้นความปลอดภัยมากกว่าการกระตุ้นด้วยสารเคมี ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ซึ่งมีงานวิจัยในสัตว์ทดลอง เปรียบเทียบการสมานแผล ระหว่างการใช้ PRP แบบเดิม กับ แบบใหม่ พบว่า PRP ที่ผ่านการกระตุ้นนั้น สามารถสมานแผลได้ในระยะเวลาเพียง 15 วันเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อลองเปรียบเทียบกับการฟื้นฟูผิวพรรณในด้านต่างๆ แล้วนั้น จึงมีแนวโน้มว่า ผลการรักษาด้วยแบบใหม่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีเช่นเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลการรักษาอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะ
ตัวอย่าง PRP
PRP แท้หรือปลอม สังเกตุอย่างไร?
ปัจจุบันมีการทำ PRP ที่กันเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นต้องสังเกตให้ดีว่าสถานที่ที่เราไปทำนั้น เป็นของจริงหรือไม่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรหล่ะ? ให้สังเกตตั้งแต่
- เจาะเลือดออกมาในปริมาณที่เหมาะสม อย่างน้อย 15-20ml หากน้อยกว่านี้จะได้ปริมาณเกล็ดเลือดต่ำไป
- นำเลือดใส่ในหลอดที่ปราศจากเชื้อ หากเลือดอยู่ในหลอดไม่ปราศจากเชื้อก็เสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อเมื่อฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย
- ต้องเข้าสู่กระบวนการปั่นด้วยเครื่องเหวี่ยง ที่มีความเร็วรอบที่เหมาะสม เพื่อคัดเลือกเกล็ดเกลือด (platelet) ออกมา
ถ้าหากไม่ได้ผ่านกระบวนการเหล่านี้ เช่น แค่เจาะเลือดแล้วนำมาใส่หลอดเลือดธรรมดา แล้วทิ้งไว้ให้ตกตะกอน หรือเหวี่ยงด้วยเครื่องที่ไม่ใช่ความรอบความเร็วที่เหมาะสม สิ่งที่จะได้จะเป็นเพียงแค่น้ำเลือด หรือพลาสมา ที่มีเซลล์ platelet เป็นส่วนประกอบเบาบาง และนำมาซึ่งผลเสียต่างๆ มากมาย เช่น ฉีดไปแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หรือเกิดอาการแพ้ หน้าบวม แดง ฯลฯ
(ภาพ) ตัวอย่าง หลอดที่เก็บ PRP จะมีการซีล สเตอร์ไรด์ฆ่าเชื้ออย่างดี สังเกตภายในหลอดจะมีท่อ ที่ทำหน้าที่กรองหรือแยกเซลล์ platelet กับเลือด กับ (ภาพ) หลอดใส่เลือดทั่วไป ที่ไม่ผ่านการสเตอร์ไรด์ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ทำที่ไหนก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน จริงหรือ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำ PRP คือ “ขั้นตอนของการสกัด” ซึ่งผลลัพธ์จะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการสกัด รวมถึงความสะอาด ปลอดภัย และแน่นอนว่าความเข้มข้นยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสกัด Platelet โดยเฉพาะ และผ่านขั้นตอนที่มีความสะอาด ปลอดเชื้อ ทำโดยผู้ชำนาญการ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลในเรื่องการรักษา ที่เห็นผลรวดเร็วและชัดเจน
การเตรียมตัวก่อนทำ
- เนื่องจากการทำ PRP เราจึงต้องการเกล็ดเลือดที่มีคุณสมบัติ ความแข็งแรง และปริมาณมากในการใช้งาน คนไข้ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงก่อนที่จะเจาะเลือด
- นอนหลับให้เพียงพอ
- ไม่เครียด และหากป่วยหรือไม่สบายควรรักษาให้หายก่อน
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ไม่ทำในช่วงที่มีประจำเดือน
ขั้นตอนการทำ
- ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อประเมินปัญหา หรือจุดบกพร่องต่างๆ ที่อยากแก้ไข และให้แพทย์เปรียบเทียบการรักษาในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับคนไข้ ก่อนการตัดสินใจทำ เพราะ PRP มีหลายที่ และแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน
- ทายาชาบริเวณใบหน้า
- พยาบาลจะทำการเจาะเลือดของคนไข้ เพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการปั่นด้วยเครื่องเฉพาะ
- แพทย์จะนำเกล็ดเลือดที่สกัดได้ ซึ่งเป็นส่วนสีขาวที่เรียกว่า บับฟี่โค้ท มาสะกิดลงบนผิวหน้าในส่วนที่มีปัญหา และใช้เครื่องยิงเฉพาะ ยิงเซลล์ที่เหลือลงทั่วใบหน้า
ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีด
- หลังทำแล้ว งดแต่งหน้าอย่างน้อย 1 วัน
- ทาครีมบำรุง หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ปกติ
- หลังการฉีดบางคนอาจเกิดอาการบวมได้ 2-3 วัน และอาจมีรอยเข็มหรือรอยช้ำเล็กน้อย สามารถทานยาพาราเซตามอล เพื่อลดอาการปวดบวมได้
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้า 4-5 ชั่วโมงแรกของการรักษา
- หลีกเลี่ยงการทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสาร Whitening ต่างๆ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องโดนแดด 2-3 วัน
- หลีกเลี่ยงการทานยากลุ่ม ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และ แอสไพริน (Aspirin) 2-3 วัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือออกกำลังกายอย่างหนัก
ผลข้างเคียงของการทำ PRP
หลายคนจะกังวลว่าจะปลอดภัยไหม? จะเกิดอาการแพ้ไหม? โดยปกติแล้วจะไม่ก้อให้เกิดอาการแพ้ใดๆ เนื่องจากสกัดจากเลือดของคนไข้ ปลอดภัย เพราะไม่ใช่สารเคมีฉีดเข้าร่างกาย หากเกิดอาการแพ้ อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น
- ใช้หลอดเลือดไม่สะอาด ไม่ผ่านการสเตอร์ไรด์ ก็อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ เพราะฉะนั้นอยากให้ดูดีๆ ก่อนทำว่า คลินิกที่ไปทำนั้นใช้หลอดแบบใด สเตอร์ไรด์ไหม
- ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่ขั้นตอนการเจาะเลือด จนถึงการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นกลับเข้าสู่ร่างกาย
- วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ผ่านการฆ่าเชื้อหรือไม่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PRP
ควรทำกี่ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด?
การที่จะทำ PRP แล้วได้ผลลัพธ์ออกมาดีนั้น จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน อยากจะแก้ตรงจุดไหน แต่โดยทั่วไปแล้วแนะนำว่าควรทำต่อเนื่องอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อรักษาประสิทธิภาพให้นานยิ่งขึ้น
- หากมีปัญหารูขุมขน อยากฉีดหน้าใส ก็ทำประมาณ 3-4 ครั้งก็จะเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้ว
- คนที่เป็นฝ้า ต้องทำอย่างน้อย 5 ครั้ง
- ใต้ตาคล้ำ ฉีดกระตุ้นเซลล์ผิวรอบตาแข็งแรง ทำให้ปกปิดรอยคล้ำที่กิดจากหลอดเลือดใต้ผิวรอบดวงตา
ขั้นตอนการทำ PRP ใช้เวลาทำนานไหม และผลลัพธ์หลังการทำอยู่ได้นานเท่าไหร่?
- ขั้นตอนการทำ PRP ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 30 นาที มีการรับรองทั้งในไทยและต่างประเทศ
- ส่วนใหญ่เห็นผลลัพธ์และรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้หลังทำประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วย
- การทำ PRP จะอยู่ได้นาน ประมาณ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพ การดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มี antioxidant ฯลฯ ก็จะช่วยให้ผลอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
ทำ PRP เจ็บไหม?
เนื่องจากการทำ PRP เป็นการฉีด platelet บริเวณผิวชั้นตื้น ซึ่งมีการทายาชาร่วมด้วย ทำให้เจ็บน้อย
เกล็ดเลือด กับ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) เหมือนกันหรือไม่?
หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ว่า PRP กับ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออย่างเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่เหมือนกัน!
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) ก็เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งในเลือด แต่การที่จะสกัดสเต็มเซลล์นั้น จะมีกระบวนการแยกเซลล์ที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งต้องอาศัย Lap ชั้นสูงในการคัดเลือกเซลล์ ทำการคัดแยก และเพาะเลี้ยง เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าการสกัดสเต็มเซลล์มีราคาที่สูงกว่ามาก และผลลัพธ์ก็ดีมากกว่าเช่นกัน
แล้วทำไม สเต็มเซลล์ ถึงแพงกว่า? นั่นก็เพราะสเต็มเซลล์สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเนื้อเยื่ออะไรในร่างกาย ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะซ่อมแซมร่างกายส่วนไหน เช่น เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง, เม็ดเลือดขาว, เซลล์ผิวหนัง, เซลล์รากผม, เซลล์เยื่อบุกระเพาะ เป็นต้น ซึ่งต่างจาก PRP ที่ทำหน้าที่ปล่อยสาร growth factor เพื่อทำให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมแผลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้นเอง (rothsportsmed.com)
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : Stem Cell Therapy ป้องกันความเสื่อม ฟื้นฟูสุขภาพ และชะลอวัย ด้วยไขมันตัวเอง
พญ. รัตตินันท์ ตรีรัตน์ (คุณหมอแต๋ม)
แพทย์ผู้ชำนาญด้านผิวพรรณและเลเซอร์
เกียรตินิยมด้านเวชศาสตร์ความงามจาก American Academy of Aesthetic Medicine
ประสบการณ์มากกว่า 20 ปี