กล้ามเนื้ออักเสบ จากการเล่นกีฬา จะรักษาอย่างไร? หลังจากที่เราออกกำลังกายมาอย่างหนัก หากเริ่มมีความรู้สึกเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ เป็นการบ่งบอกว่า กล้ามเนื้อน่าจะเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้งานของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ไม่ถูกต้องกับประเภทของกีฬาที่เล่น ความไม่พร้อมของกล้ามเนื้อ หรือมีการใช้กล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งมากเกินไป ทำให้เกิดจากการบาดเจ็บหลังการออกกำลังกายได้ ซึ่งวิธีการปฐมพยาบาลหรือการบำบัดเบื้องต้นที่ควรทำ ได้แก่
- ทำการป้องกันส่วนที่บาดเจ็บ โดยการใช้ผ้าพัน หรือการใช้ผ้ายืด elastic bandages หรือการ splint ให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับส่วนที่บาดเจ็บ
- ต้องได้รับการพักทันทีเมื่อมีอาการบาดเจ็บ เช่น บาดเจ็บหัวไหล่จากการเล่นเทนนิส ก็ควรหยุดเล่นสักพัก แต่คุณยังสามารถเล่นกีฬาอื่นที่ไม่ใช้หัวไหล่ได้ เช่น การเดิน หรือ วิ่งจ๊อกกิ้ง
- การประคบด้วยน้ำแข็งเป็นวิธีลดการอักเสบที่ดี เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรประคบ ice pack ประมาณ 10-15 นาที ภายหลังที่มีอาการบาดเจ็บ และทำซ้ำทุก ๆ ชั่วโมงในช่วงสี่ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นทำต่อไปวันละสี่ครั้งเป็นเวลาสองหรือสามวัน
- การกดหรือการรัด จะช่วยลดอาการบวมและการอักเสบได้ เช่นการใช้ elastic bandage
- การยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูงขึ้นจะเป็นการลดอาการบวม เช่น เจ็บข้อเท้าเวลานอนก็หาหมอนหรือผ้ามารองไว้ใต้ข้อเท้าให้สูงขึ้น เวลานั่งก็หาเก้าอี้อีกตัวมาวางไว้ให้ยกขาขึ้นไป จะช่วยลดอาการบวมได้
นอกจากนี้ยังมีวิธีที่ช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้ นั่นก็คือการใช้ เกล็ดเลือดเข้มข้น หรือ PRP (PLATELET RICH PLASMA) มาฉีดเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อที่มีการบาดเจ็บอยู่ โดยหลักการของวิธีนี้ก็คือ “เซลล์ซ่อมเซลล์” จะช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ ลดการอักเสบ และลดอาการปวด
การฉีด PRP (PLATELET RICH PLASMA) คือ การฉีดเกล็ดเลือดความเข้มข้นสูง ซึ่งมีวิธีการคือนำเลือดของตัวผู้ป่วยเองมาปั่นเพื่อแยกชั้นของพลาสม่า (Plasma) ลักษณะจะเป็นน้ำสีเหลือง และข้างในนั้นจะมีเกล็ดเลือด (Platelet) อยู่ในปริมาณที่เข้มข้น
ซึ่งเกล็ดเลือดจะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวและเซลล์ต่างๆ เพื่อมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับการบาดเจ็บหรือฉีกขาด และยังมี Growth factor ช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผลและช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน กระตุ้นการเติบโตและการแบ่งเซลล์ ช่วยให้กระบวนการซ่อมแซมของร่างกายเร็วขึ้น ช่วยลดอาการบาดเจ็บ จึงทำให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
การเตรียมตัวก่อนฉีด PRP
- ต้องงดยาตามที่แพทย์แนะนำ โดยเฉพาะยาแก้ปวดลดการอักเสบกลุ่ม NSAID’s เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และยาสเตียรอยด์ (Steroid) อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีดยา เนื่องจากยาจะส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้ประสิทธิภาพในการฉีดลดลง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ ตั้งแต่ก่อนฉีด 1 วัน เนื่องจากหากมีภาวะขาดน้ำจะทำให้การดูดเลือดทำได้ยาก
ขั้นตอนการฉีด PRP รักษาอาการ กล้ามเนื้ออักเสบ
- เจาะเลือดผู้ป่วยออกมาประมาณ 20-25 ซีซี
- นำมาปั่นด้วยเครื่องปั่นพิเศษ เพื่อแยกเกล็ดเลือดเข้มข้นออกมา
- นำกลับไปฉีดให้ผู้ป่วย ในบริเวณกล้ามเนื้อที่มีการอักเสบ
ซึ่งการฉีด PRP จะใช้เวลาทำประมาณ 20-30 นาที ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นเลือดของตัวเอง และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณตำแหน่งที่ฉีด
การดูแลหลังการฉีด PRP
หลังฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นไปแล้ว ยังควรต้องงดยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAID’s และสเตียรอยด์ต่อไป หากมีอาการปวดอาจใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอลหรือใช้การประคบเย็นช่วยลดอาการปวด ซึ่งโดยปกติผู้ป่วยจะมีอาการปวดได้ในช่วง 3 วันแรก แต่หากอาการปวดยังคงอยู่หลังจากวันที่ 3 หลังฉีดยา หรือมีอาการบวมแดงมากขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์
ผลการรักษา กล้ามเนื้ออักเสบ ด้วย PRP Therapy
- ประสิทธิภาพในการรักษาขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรืออวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ หากเป็นกล้ามเนื้ออาจใช้เวลาน้อยกว่ากลุ่มของเส้นเอ็น
- เนื้อเยื่อบาดเจ็บแบบเฉียบพลันจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่าการบาดเจ็บเรื้อรัง
- การฉีด PRP ต้องฉีดประมาณ 2-3 ครั้งต่อเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ โดยเว้นระยะห่างกันครั้งละ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์
- ผลการรักษาจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ขึ้นไป
ใครที่ไม่เหมาะสำหรับการรักษาด้วย PRP
- คนที่มีภาวะเกร็ดเลือดต่ำ เกล็ดเลือดผิดปกติ โลหิตจางขั้นรุนแรง
- ติดเชื้อในกระแสเลือด
- มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะทำหัตถการ
- โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune Diseases) ได้แก่ โรค SLE โรครูมาตอยด์
- โรคเก๊าท์
- คนไข้กินยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด
- ผู้ที่กำลังป่วยอยู่ควรรักษาตัวให้หายดีก่อนทำ PRP Therapy เพราะอาจมีเชื้อโรคปะปนในกระแสเลือด
- ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
REF. https://www.nebbenphysmed.com/blog/are-you-a-candidate-for-prp-injections
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง