รู้ไว้ก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร การเตรียมตัวและขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรพลาด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) ไม่ใช่เพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว การเตรียมตัวอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจร่างกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หรือการเตรียมจิตใจ จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ร่างกายพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนวันสำคัญ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหลังผ่าตัด

ความสำคัญของการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดความเสี่ยงและส่งเสริมให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งมีผลต่อระบบย่อยอาหารโดยตรง การเตรียมตัวอย่างถูกต้องทำให้ร่างกายและจิตใจพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ การฟื้นตัวที่ช้า หรือภาวะไม่สมดุลในระบบย่อยอาหาร

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดช่วยให้แพทย์ได้ประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยได้อย่างละเอียด ทั้งการตรวจเช็กน้ำตาลในเลือด ค่าความดันโลหิต และการประเมินการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่มีผลต่อการผ่าตัด การปรับพฤติกรรมการกินก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญ ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้การรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้การฟื้นตัวเป็นไปได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจยังมีความสำคัญ เพราะการผ่าตัดเปลี่ยนขนาดกระเพาะและพฤติกรรมการรับประทานจะทำให้เกิดการปรับตัวในชีวิตประจำวัน การเตรียมใจและความพร้อมด้านจิตใจช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงจูงใจในการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดหลังการผ่าตัด นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ขั้นตอนการตรวจร่างกายล่วงหน้าก่อนผ่าตัด

การตรวจร่างกายล่วงหน้าก่อนการผ่าตัดกระเพาะอาหารมีความสำคัญต่อการประเมินความพร้อมของร่างกาย ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยทั่วไปขั้นตอนการตรวจร่างกายล่วงหน้าประกอบด้วย:

1. การตรวจร่างกายทั่วไป

แพทย์จะทำการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น เช่น การวัดความดันโลหิต ชีพจร น้ำหนัก และส่วนสูง ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วย รวมถึงการวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการวางแผนผ่าตัดกระเพาะ

2. การตรวจเลือดและค่าเคมีในร่างกาย

การตรวจเลือดเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน คอเลสเตอรอล รวมถึงค่าเคมีในเลือด เช่น ค่าการทำงานของไตและตับ การตรวจนี้ช่วยระบุความเสี่ยงในการผ่าตัดและการดมยาสลบ ทั้งยังช่วยให้แพทย์ทราบถึงภาวะร่างกายของผู้ป่วยอย่างละเอียด

3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

การตรวจ EKG ช่วยประเมินการทำงานของหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุสูงหรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ การผ่าตัดกระเพาะเป็นการผ่าตัดใหญ่ จึงจำเป็นต้องมั่นใจว่าหัวใจของผู้ป่วยมีความพร้อมเพียงพอเพื่อรองรับการผ่าตัด

4. การเอกซเรย์ปอดและตรวจระบบทางเดินหายใจ

การเอกซเรย์ปอดและตรวจระบบหายใจช่วยประเมินความแข็งแรงของปอดและระบบทางเดินหายใจ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถทนต่อการดมยาสลบได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติการสูบบุหรี่หรือโรคปอด

5. การตรวจภาวะและประเมินโรคประจำตัว

หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ แพทย์จะทำการประเมินและควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก่อนการผ่าตัด เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันให้อยู่ในระดับปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด

6. การประเมินภาวะจิตใจและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

เนื่องจากการผ่าตัดกระเพาะเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่มีผลต่อพฤติกรรมการกินและชีวิตประจำวัน แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการประเมินภาวะจิตใจเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยมีความพร้อมด้านจิตใจ และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด

7. การตรวจโภชนาการและการปรึกษานักโภชนาการ

การตรวจโภชนาการและการได้รับคำปรึกษาจากนักโภชนาการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การลดน้ำหนักเบื้องต้น รวมถึงการวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับช่วงก่อนและหลังการผ่าตัด

การตรวจร่างกายล่วงหน้าจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นตัวช่วยหลักในการวางแผนการผ่าตัดอย่างปลอดภัย และทำให้ผู้ป่วยสามารถเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่เพื่อรับการผ่าตัดที่ราบรื่น

การเตรียมตัวด้านโภชนาการก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร

การเตรียมตัวด้านโภชนาการเป็นขั้นตอนสำคัญในการช่วยให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมสำหรับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร และยังช่วยเพิ่มโอกาสให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารล่วงหน้าทำให้ระบบย่อยอาหารปรับตัวได้ดีขึ้นหลังการผ่าตัด โดยทั่วไปการเตรียมตัวด้านโภชนาการมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

1. การลดน้ำหนักเบื้องต้น

การลดน้ำหนักก่อนการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากน้ำหนักที่ลดลงช่วยลดขนาดของตับ ทำให้แพทย์สามารถผ่าตัดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักเบื้องต้นประมาณ 3-5 กิโลกรัม ซึ่งสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายเบาๆ

2. การเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีสารอาหารครบถ้วน

ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ไก่ และเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เตรียมพร้อมรับการผ่าตัดและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

3. การปรับพฤติกรรมการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด

หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารจะมีขนาดเล็กลง ทำให้การรับประทานอาหารและการย่อยอาจต้องใช้เวลามากขึ้น การฝึกเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเป็นสิ่งที่ควรเริ่มทำก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่ออาการแน่นท้องหรือไม่สบายท้องหลังผ่าตัด

4. การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

อาหารที่มีน้ำตาลสูงและไขมันสูงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนการผ่าตัด เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงมากขึ้น แนะนำให้ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ของหวาน และอาหารทอดหรือมันๆ

5. การควบคุมปริมาณอาหารและฝึกแบ่งมื้ออาหาร

ควรเริ่มฝึกการรับประทานอาหารในปริมาณเล็กๆ หลายมื้อ แทนการรับประทานมื้อใหญ่ๆ เพียงไม่กี่มื้อ เพราะหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารจะรองรับอาหารได้น้อยลง การฝึกทานอาหารทีละน้อยเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร่างกายคุ้นชิน ช่วยลดอาการแน่นท้องและป้องกันการยืดขยายของกระเพาะอาหาร

6. การปรึกษานักโภชนาการหรือนักกำหนดอาหาร

นักโภชนาการสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะการวางแผนการลดน้ำหนักและการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร นักโภชนาการอาจแนะนำสูตรอาหารที่มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอแต่ไม่สะสมไขมันส่วนเกิน

7. การเตรียมอาหารเหลวในช่วงก่อนวันผ่าตัด

24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเหลว เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำซุปใส หรือโปรตีนเชค เพื่อช่วยลดความหนาแน่นในกระเพาะอาหารและเตรียมร่างกายสำหรับการผ่าตัด ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง เช่น บีทรูทและน้ำแดง เนื่องจากอาจทำให้การประเมินผลหลังผ่าตัดทำได้ยากขึ้น

8. การงดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัด

ควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดมยาสลบ หากมีการรับประทานอาหารหรือน้ำก่อนผ่าตัด อาจทำให้การดมยาสลบมีความเสี่ยงมากขึ้นและส่งผลต่อการผ่าตัด

อาหารหลังผ่าตัดกระเพาะ ตามคำแนะนำของแพทย์ อาหารเสริมหลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก ยาอะไรบ้างที่ควรงดก่อนผ่าตัด

การเตรียมสภาพจิตใจก่อนผ่าตัด

การเตรียมสภาพจิตใจก่อนการผ่าตัดกระเพาะอาหารมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเตรียมร่างกาย เนื่องจากการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร และการดูแลสุขภาพในระยะยาว ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องมีความพร้อมทางจิตใจในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมถึงการปรับพฤติกรรมหลังการผ่าตัด เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย

1. เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงหลังผ่าตัด

ผู้ป่วยควรเรียนรู้และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เช่น กระเพาะอาหารที่มีขนาดเล็กลงทำให้ทานอาหารได้น้อยลง การเปลี่ยนแปลงของการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ผู้ป่วยอาจต้องปรับตัวและเผชิญกับภาวะที่ไม่คุ้นเคยในช่วงแรก ซึ่งการรับรู้และเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยลดความกังวลและความเครียด

2. ตั้งเป้าหมายและมองเห็นประโยชน์ในระยะยาว

การตั้งเป้าหมายในการผ่าตัด เช่น การลดน้ำหนัก การมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง จะช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงจูงใจและตั้งใจปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด การจดจำถึงประโยชน์ที่คาดหวังช่วยให้ผู้ป่วยมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการผ่าตัดและสามารถฝ่าฟันอุปสรรคระหว่างการฟื้นตัวได้ดีขึ้น

3. การฝึกฝนการควบคุมอารมณ์และจัดการกับความเครียด

การผ่าตัดและการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาอาจทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล การฝึกฝนการควบคุมอารมณ์ผ่านการฝึกหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ และการฝึกผ่อนคลายความเครียด เช่น การพูดคุยกับคนใกล้ชิดหรือหากิจกรรมที่ผ่อนคลาย จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดได้ดียิ่งขึ้น

4. การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือพูดคุยกับผู้ที่ผ่านการผ่าตัด

การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือติดต่อกับผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับกำลังใจและความรู้จากประสบการณ์จริง ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำและการแบ่งปันเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งยังช่วยสร้างความรู้สึกว่าตนไม่ได้เผชิญความเปลี่ยนแปลงนี้เพียงลำพัง

5. เตรียมพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจต้องลดปริมาณการรับประทานอาหารและเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น การฝึกทานอาหารให้ช้าลงและเคี้ยวให้ละเอียดก่อนผ่าตัดจะช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวได้ง่ายขึ้นในระยะหลัง การเตรียมใจรับการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมนี้ทำให้ผู้ป่วยพร้อมสำหรับการทานอาหารแบบใหม่ และลดความเครียดที่เกิดจากความยากลำบากในการปรับตัว

6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีความวิตกกังวลมากเกินไป

หากผู้ป่วยมีความกังวลหรือกลัวการผ่าตัดมากจนเกินไป การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา สามารถช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับความกลัวและความวิตกกังวลได้ดียิ่งขึ้น โดยอาจแนะนำเทคนิคการรับมือกับความเครียดและช่วยสร้างมุมมองที่เป็นบวกต่อการรักษา

7. พัฒนาความมั่นใจในตัวเองและเชื่อมั่นในกระบวนการรักษา

ความเชื่อมั่นในตนเองและในทีมแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ การเข้าใจในขั้นตอนการรักษาและการเตรียมตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองและผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการผ่าตัด

การประเมินและควบคุมโรคประจำตัวก่อนผ่าตัด

การประเมินและควบคุมโรคประจำตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และทำให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัดเป็นไปได้อย่างปลอดภัยและราบรื่น โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผ่าตัดและการดมยาสลบ ดังนั้นการควบคุมอาการและประเมินภาวะของโรคเหล่านี้จึงมีความสำคัญมาก

1. การตรวจร่างกายและประเมินภาวะโรคประจำตัว

แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินโรคประจำตัวของผู้ป่วยอย่างละเอียด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคปอด เพื่อพิจารณาว่าภาวะของโรคอยู่ในระดับที่ปลอดภัยหรือควบคุมได้ดีพอก่อนการผ่าตัด ซึ่งการประเมินนี้ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาและการผ่าตัดที่เหมาะสม รวมถึงสามารถจัดการกับภาวะฉุกเฉินได้หากเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด

2. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่สมดุลอาจทำให้แผลหายช้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพทย์จะให้คำแนะนำในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปลอดภัยล่วงหน้าก่อนการผ่าตัด โดยแนะนำให้ลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และอาจปรับปริมาณยาเบาหวานตามความจำเป็น

3. การควบคุมความดันโลหิต

ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการผ่าตัด การควบคุมความดันโลหิตให้คงที่และอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่แพทย์ให้ความสำคัญอย่างมาก แพทย์อาจปรับยาลดความดันโลหิตหรือแนะนำให้ผู้ป่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การลดเกลือในอาหาร การลดน้ำหนัก หรือการลดความเครียด เพื่อให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อนการผ่าตัด

4. การประเมินสภาพการทำงานของหัวใจ

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจหรือภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ แพทย์จะทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และประเมินสภาพการทำงานของหัวใจ เพื่อดูว่าหัวใจของผู้ป่วยมีความพร้อมเพียงพอสำหรับการผ่าตัดหรือไม่ หากจำเป็น แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาเพิ่มเติมก่อนการผ่าตัด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถทนต่อการดมยาสลบและการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย

5. การควบคุมโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ

โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคหอบหืด สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการดมยาสลบและการฟื้นตัวหลังผ่าตัด แพทย์จะตรวจสอบภาวะปอดและระบบทางเดินหายใจ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบหายใจมีความพร้อมเพียงพอสำหรับการผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอ่อนแออาจได้รับการฝึกหายใจหรือการรักษาเพื่อเสริมความแข็งแรงของปอดก่อนการผ่าตัด

6. การเตรียมและปรับเปลี่ยนการใช้ยารักษาโรคประจำตัว

ผู้ป่วยที่มียารักษาโรคประจำตัวที่ต้องทานเป็นประจำ เช่น ยาลดความดัน ยารักษาเบาหวาน หรือยาละลายลิ่มเลือด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่รับประทาน เพื่อให้แพทย์ปรับแผนการใช้ยาในช่วงก่อนและหลังผ่าตัด หากจำเป็นต้องหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด แพทย์จะให้คำแนะนำเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการหยุดยา

7. การติดตามและประเมินอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์

การผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัย ดังนั้นทีมแพทย์จะติดตามอาการและการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมโรคประจำตัวและภาวะของร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อมและปลอดภัยที่สุด การติดตามประเมินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ


หากร่างกายไม่พร้อมผ่าตัด ให้ลองพิจารณาการเย็บกระเพาะ

ในกรณีที่ร่างกายยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร การเย็บกระเพาะ (Endoscopic Sleeve Gastroplasty – ESG) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ โดยใช้วิธีส่องกล้องเพื่อเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ทั้งยังฟื้นตัวได้เร็วและแทบไม่ทิ้งรอยแผล

อ่านเพิ่มเติม : OverStitch เย็บกระเพาะอาหาร รักษาโรคอ้วน เทคนิคใหม่! ไม่ต้องผ่าตัดกระเพาะ
OverStitch Before & After
OverStitch Before & After

ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์
ผ่านช่องทางไลน์ หรือโทรศัพท์

086-570-7040
CTA Lipo 2
CTA Lipo 1
QR code surgery

สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์

ข้อควรระวังเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมก่อนผ่าตัด

ก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาบางชนิดและอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน ยาละลายลิ่มเลือดและยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพรินและไอบูโพรเฟน ควรหยุดใช้ล่วงหน้า 7 วัน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น อาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี และสมุนไพร ควรหยุดทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ และแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาประจำตัวทั้งหมดเพื่อปรับใช้ตามความเหมาะสม

การหยุดการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัด

การหยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัดช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและเร่งการฟื้นตัว ผู้ป่วยควรหยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากนิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนของออกซิเจน และเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ สำหรับแอลกอฮอล์ ควรงดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงและเพิ่มภาระการทำงานของตับ การปฏิบัติตามคำแนะนำนี้จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

การเตรียมตัวช่วงใกล้เวลาก่อนผ่าตัด

การเตรียมตัวช่วงใกล้เวลาก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นช่วงที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความพร้อมสำหรับการผ่าตัดอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างและหลังการผ่าตัด ขั้นตอนต่างๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

1. การรับประทานอาหารอ่อน 1-3 วันก่อนผ่าตัด

ในช่วง 1-3 วันก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม น้ำซุป หรืออาหารที่ไม่ก่อให้เกิดการท้องอืด การรับประทานอาหารอ่อนช่วยลดความเสี่ยงของการท้องผูกในช่วงฟื้นตัว และลดภาระในการย่อยอาหารของกระเพาะ

2. การรับประทานอาหารเหลวใน 24 ชั่วโมงสุดท้าย

24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนมาทานอาหารเหลวทั้งหมด เช่น น้ำซุปใส น้ำเต้าหู้ หรือโปรตีนเชค เพื่อให้กระเพาะอาหารและระบบย่อยอาหารมีเวลาพักตัวก่อนการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและอาหารที่มีสีแดง เช่น น้ำบีทรูทหรือน้ำแดง เนื่องจากอาจทำให้การตรวจประเมินหลังผ่าตัดทำได้ยากขึ้น

3. การงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด

เพื่อให้การดมยาสลบเป็นไปอย่างปลอดภัย ผู้ป่วยควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเข้าห้องผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์และโรงพยาบาล เนื่องจากการมีอาหารหรือน้ำในกระเพาะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักระหว่างการดมยาสลบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

4. การทำความสะอาดร่างกายและการงดเครื่องสำอาง

ผู้ป่วยควรทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อยในวันก่อนการผ่าตัด โดยเฉพาะการงดใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุง หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ บนใบหน้าและร่างกาย รวมถึงการถอดเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ แหวน และต่างหู เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของผู้ป่วยสะอาดและปลอดจากสิ่งที่อาจรบกวนการตรวจหรือการผ่าตัด

5. การเตรียมชุดและอุปกรณ์สำหรับเข้ารับการผ่าตัด

แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย เช่น ชุดนอน หรือชุดที่ไม่มีตะเข็บและไม่รัดแน่น รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นในวันผ่าตัด เช่น แว่นตา หรือไม้เท้าช่วยเดิน (ถ้ามีความจำเป็น) และหากมีเอกสารที่ต้องใช้ เช่น บัตรประชาชน หรือเอกสารสุขภาพ ควรนำติดตัวไปด้วย

6. การเตรียมจิตใจก่อนเข้าห้องผ่าตัด

การเตรียมจิตใจก็มีความสำคัญเช่นกัน ผู้ป่วยควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนการผ่าตัด ลดความกังวลและเครียดด้วยการทำสมาธิหรือพูดคุยกับคนใกล้ชิด การมีสภาพจิตใจที่พร้อมจะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับการผ่าตัดได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น

7. การพบแพทย์และพยาบาลก่อนการผ่าตัด

ในช่วงสุดท้ายก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้พบแพทย์และพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบและเตรียมความพร้อม โดยแพทย์จะทำการซักถามข้อมูลสุขภาพครั้งสุดท้าย ตรวจเช็คผลการตรวจเลือดและตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยมีความพร้อมเต็มที่สำหรับการผ่าตัด

การปฏิบัติตามขั้นตอนสุดท้ายก่อนผ่าตัดช่วยลดความเสี่ยงและทำให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่น การเตรียมตัวตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พร้อมเข้าสู่การผ่าตัดและการฟื้นตัวที่ปลอดภัย

สิ่งที่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการผ่าตัด

การแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนก่อนผ่าตัดช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างรัดกุม ลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัย ดังนี้

  1. ยาที่ใช้และอาหารเสริม แจ้งแพทย์ถึงยาประจำตัวและอาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  2. การแพ้ยา หากเคยแพ้ยาหรือมีปฏิกิริยาต่อสารเคมีใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  3. โรคประจำตัว โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน หรือปัญหาปอด อาจต้องตรวจเพิ่มหรือปรับการรักษา
  4. การตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตร แจ้งแพทย์เพื่อลดผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
  5. ภาวะผิดปกติและประวัติการผ่าตัดก่อนหน้า การติดเชื้อ ไข้ หรืออาการผิดปกติ ควรแจ้งล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย

ข้อมูลทั้งหมดนี้ช่วยให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัดปลอดภัยและเป็นไปอย่างราบรื่น

การเตรียมสภาพแวดล้อมในบ้านหลังผ่าตัด

การจัดเตรียมสภาพแวดล้อมในบ้านหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้สะดวกและปลอดภัย โดยเฉพาะช่วงแรกที่การเคลื่อนไหวยังไม่คล่องตัว การเตรียมบ้านควรเริ่มจากการจัดพื้นที่นอนที่เข้าถึงง่ายและสะดวกต่อการพักฟื้น จัดอุปกรณ์จำเป็น เช่น ขวดน้ำและยาประจำตัวไว้ใกล้ตัว และเตรียมอาหารที่ย่อยง่าย เช่น น้ำซุปหรืออาหารเหลวสำหรับช่วงแรกหลังผ่าตัด ลดความเสี่ยงในห้องน้ำด้วยราวจับและแผ่นกันลื่น พร้อมจัดบ้านให้โล่งเพื่อป้องกันการสะดุด ควรมีโทรศัพท์ใกล้ตัวสำหรับติดต่อขอความช่วยเหลือ และควรนัดหมายแพทย์ล่วงหน้ารวมถึงจัดให้มีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด

ความคาดหวังและการตั้งเป้าหมายก่อนและหลังการผ่าตัด

การตั้งเป้าหมายและความคาดหวังที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจและความมุ่งมั่นในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารจะมีผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตในระยะยาว ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงและมีความหมายช่วยให้ผู้ป่วยมีแนวทางในการปฏิบัติตัวและสามารถประเมินผลลัพธ์ได้

1. การตั้งเป้าหมายเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

เป้าหมายหลักของการผ่าตัดกระเพาะอาหารมักเกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักและการฟื้นฟูสุขภาพ เช่น การลดระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล เป้าหมายนี้เป็นตัวช่วยให้ผู้ป่วยมีแนวทางที่ชัดเจนในการดูแลตัวเอง โดยการตั้งเป้าหมายควรพิจารณาว่าเป็นเป้าหมายที่สมเหตุสมผลและปลอดภัย เช่น การลดน้ำหนักในระดับที่เหมาะสมในระยะเวลาที่ไม่เร่งรีบเกินไป เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้

2. ความคาดหวังในการฟื้นตัวหลังผ่าตัด

การฟื้นตัวหลังผ่าตัดอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ ผู้ป่วยควรมีความคาดหวังที่เป็นจริงเกี่ยวกับระยะเวลาการฟื้นตัว รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น กระเพาะอาหารที่เล็กลง ระบบย่อยอาหารที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรตระหนัก เพื่อป้องกันความกังวลและลดความเครียดระหว่างการฟื้นตัว

3. การตั้งเป้าหมายในการปรับพฤติกรรมการกิน

หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น การเลือกอาหารที่ย่อยง่าย การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และการรับประทานอาหารในปริมาณน้อยลง ผู้ป่วยควรตั้งเป้าหมายในการทานอาหารให้ถูกต้อง เช่น การเพิ่มปริมาณโปรตีน การหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาล รวมถึงการฝึกตัวเองให้ทานอาหารช้า ๆ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ป่วยมีวินัยและความมุ่งมั่นในการดูแลตัวเอง

4. ความคาดหวังในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

การผ่าตัดกระเพาะอาหารไม่ใช่เพียงแค่การลดน้ำหนัก แต่ยังมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น การเคลื่อนไหวที่สะดวกขึ้น การมีพลังงานมากขึ้น และการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยควรคาดหวังว่าการผ่าตัดจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและทำให้สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

5. การตั้งเป้าหมายเพื่อการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

หลังการผ่าตัด การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยรักษาน้ำหนักได้ดีและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ผู้ป่วยควรตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายเบาๆ หลังการผ่าตัด เช่น การเดินเบาๆ ในช่วงแรก และค่อยๆ เพิ่มระดับการออกกำลังกายเมื่อร่างกายฟื้นตัว เช่น การยืดกล้ามเนื้อ หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เป้าหมายในการออกกำลังกายนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีและรักษาน้ำหนักได้ในระยะยาว

6. การตั้งเป้าหมายทางจิตใจและการพัฒนาตนเอง

การผ่าตัดกระเพาะอาหารและการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดต้องอาศัยความพยายามและความอดทน ผู้ป่วยควรตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตนเอง เช่น การเพิ่มความมั่นใจในการดูแลสุขภาพ การสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการสร้างทัศนคติที่เป็นบวกต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การมีเป้าหมายที่ชัดเจนในด้านจิตใจช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นคุณค่าและรู้สึกพึงพอใจในการฟื้นตัว

7. การติดตามและประเมินผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้

ผู้ป่วยควรมีการติดตามและประเมินผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยอาจตรวจสุขภาพตามนัดหมายเพื่อตรวจสอบระดับน้ำตาล ความดันโลหิต หรือระดับคอเลสเตอรอล หากมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจะช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพต่อไป การประเมินผลอย่างต่อเนื่องยังช่วยให้ผู้ป่วยเห็นถึงความก้าวหน้าและปรับปรุงวิธีการดูแลตัวเองได้ตามความเหมาะสม

การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความหมายช่วยให้ผู้ป่วยมีแนวทางที่ดีในการฟื้นฟูสุขภาพหลังการผ่าตัด นอกจากนี้ การคาดหวังที่สมเหตุสมผลจะช่วยลดความเครียดและทำให้ผู้ป่วยมีทัศนคติที่เป็นบวก พร้อมที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

คำแนะนำจากแพทย์ที่ควรทำตามอย่างเคร่งครัด

การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การทำตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดเป็นไปตามเป้าหมาย โดยคำแนะนำจากแพทย์ที่สำคัญมีดังนี้

  1. งดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัดตามระยะเวลาที่กำหนด ผู้ป่วยควรงดอาหารและน้ำตามที่แพทย์แนะนำ (อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด) เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักระหว่างการดมยาสลบ
  2. หยุดการใช้ยาบางชนิดและอาหารเสริม แพทย์อาจแนะนำให้หยุดใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ หรือสมุนไพรบางชนิดล่วงหน้า 7-14 วัน ก่อนการผ่าตัด
  3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยควรหยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ระบบการหายใจและตับทำงานได้เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด
  4. ตรวจติดตามสุขภาพตามนัดหมาย แพทย์อาจนัดหมายเพื่อตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพอย่างละเอียด เช่น การตรวจเลือด ความดัน และการทำงานของหัวใจ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของร่างกายก่อนวันผ่าตัด

คำแนะนำทั้งหมดนี้มีความสำคัญและมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและความสำเร็จของการผ่าตัด ผู้ป่วยควรทำตามคำแนะนำทุกข้ออย่างเคร่งครัดและปรึกษาแพทย์หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการเตรียมตัว

การปรับตัวและพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องรับมือ

การผ่าตัดกระเพาะอาหารส่งผลให้ผู้ป่วยต้องปรับตัวกับพฤติกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต การปรับตัวและพฤติกรรมใหม่เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูร่างกายและรักษาผลลัพธ์การลดน้ำหนักได้ในระยะยาว ดังนี้

  1. การทานอาหารในปริมาณน้อยและเคี้ยวให้ละเอียด หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง ทำให้ผู้ป่วยทานอาหารได้น้อยลง การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดช่วยให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการแน่นท้องหรือไม่สบายท้อง
  2. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีน ผัก และผลไม้ที่ย่อยง่าย ช่วยให้ผู้ป่วยรักษาน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพได้ดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักและกระตุ้นให้เกิดน้ำหนักเพิ่ม
  3. การดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจิบทีละน้อยและหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร เนื่องจากอาจทำให้รู้สึกอิ่มเร็วเกินไปและทำให้กระเพาะอาหารตึง
  4. ปรับพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป การออกกำลังกายช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ผู้ป่วยควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน หรือยืดกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่มระดับการออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
  5. ปรับวิถีชีวิตและรักษาสุขภาพจิตใจ การปรับตัวด้านจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การมองบวกและการสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างราบรื่น

ทีมแพทย์ลดขนาดกระเพาะ ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์

นพ. ปณต ยิ้มเจริญ

นพ. ปณต ยิ้มเจริญ

ศัลยแพทย์

น.ท.นพ. เสรษฐสิริ พันธุ์ธนากุล

น.ท.นพ. เสรษฐสิริ

พันธุ์ธนากุล

ศัลยแพทย์

ร.อ.นพ. ดุษฎี สุรกิจบวร

ร.อ.นพ. ดุษฎี สุรกิจบวร

ศัลยแพทย์

นพ. กฤติน อู่สิริมณีชัย

นพ. กฤติน อู่สิริมณีชัย

อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม

พญ. ณัฐกานต์ หุ่นธานี

พญ. ณัฐกานต์ หุ่นธานี

วิสัญญีแพทย์

พญ. สุชาดา ประพฤติธรรม

พญ. สุชาดา

ประพฤติธรรม

วิสัญญีแพทย์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดควรเริ่มต้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ล่วงหน้า ซึ่งรวมถึงการตรวจร่างกาย การหยุดยา และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักเบื้องต้นประมาณ 3-5 กิโลกรัมก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างราบรื่น

ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ และอาหารเสริมบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดควรหยุดใช้ล่วงหน้า 7-14 วัน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานประจำเพื่อความปลอดภัย

ในช่วงแรกหลังผ่าตัด ผู้ป่วยควรเริ่มต้นจากอาหารเหลว เช่น น้ำซุปใส น้ำเต้าหู้ และโปรตีนเชค และค่อยๆ เพิ่มระดับเป็นอาหารอ่อนเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว

ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก และการทำงานที่ใช้กำลังมากในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก เพื่อให้แผลและร่างกายฟื้นตัวเต็มที่

การผ่าตัดกระเพาะอาหารต้องการการปรับพฤติกรรมหลายด้าน เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการรักษาสุขภาพจิตใจ เพื่อให้สามารถรักษาผลลัพธ์การลดน้ำหนักในระยะยาว

ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์
ผ่านช่องทางไลน์ หรือโทรศัพท์

086-570-7040
CTA Lipo 2
CTA Lipo 1
QR code surgery

สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัย ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การหยุดใช้ยาบางชนิด งดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัด รวมถึงเตรียมสภาพจิตใจและปรับพฤติกรรมการกินเพื่อลดน้ำหนักเบื้องต้น การเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและมีผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า