ปวดหัวเป็นอาการที่พบได้บ่อย ไม่ว่าจะปวดรุนแรงหรือเล็กน้อย บางครั้งแม้ปวดเพียงเล็กน้อย แต่ก็อาจเป็นอาการเตือนถึงโรคร้ายแรงในอนาคตได้ สำหรับปวดหัวข้างเดียว มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย อาการปวดอาจเกิดขึ้นเป็นชั่วโมง หรือหลายวัน เช่น โรคปวดหัวข้างเดียวไมเกรน อาการอาจหายไปเองหรือเป็นเรื้อรังก็ได้
อาการปวดหัวข้างเดียวที่เป็นอันตราย
อาการปวดหัวข้างเดียว ข้างขวาหรือซ้ายเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ ถือเป็นอาการเตือนที่อันตราย และอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้โรคร้ายแรงได้
- ปวดเฉียบพลัน และรุนแรงมาก จนตื่นขณะหลับ
- ปวดมากจนรบกวนชีวิตและการทำงานประจำวัน
- ลักษณะการปวดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
- ปวดร่วมกับอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก ตามัว ฯลฯ
- ปวดร่วมกับอาการไข้ หอบ แน่นหน้าอก
- ปวดหลังการกระแทกหรือบาดเจ็บศีรษะ
- มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และปวดหัวข้างเดียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สาเหตุของการปวดหัวข้างเดียว ได้แก่
การปวดหัวข้างเดียวสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ความผิดปกติในเนื้อสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง หลอดเลือดแดงในสมองโป่งพอง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียวได้
- ความผิดปกตินอกเนื้อสมอง เช่น โพรงจมูกอักเสบ หูอักเสบ ต้อกระจก ต้อหิน ทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรนได้
- ความเครียด ความกดดันทางอารมณ์สูง จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหัวและลําคอเกร็ง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นได้
การรักษาอาการปวดหัวข้างเดียวอย่างถูกต้อง
อาการปวดหัวข้างเดียวที่พบได้บ่อย คือ อาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรง โดยเริ่มปวดบริเวณรอบลูกตาก่อนจะขยายไปทั้งซีก ลักษณะปวดเป็นพัก ๆ มักมีอาการนำมาก่อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียนการรักษาควรทานยาแก้ปวดทันทีที่เริ่มมีอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือต้องกินยาเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ ในบางราย การอาเจียนออกจะทำให้อาการปวดหัวข้างเดียวดีขึ้นได้ ดังนั้นหากมีอาการปวดหัวข้างเดียวหรือปวดหัวข้างซ้ายขวา ควรรีบรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันอาการรุนแรงขึ้นในภายหลัง รวมถึงลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากโรค
ป้องกันอาการปวดหัวข้างเดียว ด้วยวิธีใดได้ผล
อาการปวดหัวข้างเดียว ปวดตา ปวดจมูกส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การบริหารจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม รวมถึงการดูแลสุขภาพให้สมดุล ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- นอนหลับให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นความเครียด
- สังเกตอาหาร สิ่งแวดล้อม หรืออารมณ์ที่อาจทำให้เกิดอาการ
- เรียนรู้ผ่อนคลายความเครียดด้วยตนเอง
- กำหนดกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสมและสม่ำเสมอ
- หากปวดผิดปกติหรือนานเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
ด้วยการปฏิบัติดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จะช่วยป้องกันและลดการเกิดอาการปวดหัวข้างเดียวหรือปวดหัวข้างขวาได้เป็นอย่างดี
ทำไมคนวัยทำงานจึงเสี่ยงเป็นไมเกรน
แม้ว่าโรคไมเกรนจะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่คนวัยทำงานมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเป็นไมเกรนมากกว่าวัยอื่น ๆสาเหตุหลักมาจากปัจจัยต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต และการทำงานของคนวัยนี้ ที่มักต้องเผชิญกับความเครียด ความกดดัน การทำงานหนัก การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้ง่าย ดังนั้น คนวัยทำงานจึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพ และหาวิธีผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคไมเกรน
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคไมเกรน
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไมเกรนแล้ว สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองให้ถูกต้อง เพื่อบรรเทาและป้องกันอาการกำเริบ ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ งดเหล้า กาแฟ
- รับประทานยาลดปวดตามแพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการ เช่น แสงแดด เสียงดัง
- งดบุหรี่ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือด
- ประคบเย็นบริเวณศีรษะ
- ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการต่อไป
สามารถรักษาไมเกรนได้หรือไม่
แม้ว่าโรคไมเกรนจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถบรรเทาอาการปวดให้หายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้ ซึ่งมีการรักษา 2 ประเภทหลัก ดังนี้
1. อาการปวดเฉียบพลัน ให้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยาขับไมเกรนโดยเฉพาะ
2. อาการปวดเรื้อรังซ้ำ ๆ ให้ยาป้องกันเฉพาะโรค เช่น ยากันชัก ควบคู่กับยาต้านซึมเศร้า
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ก่อนตัดสินใจรับประทานยา เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับอาการของแต่ละบุคคลมากที่สุด
สรุป ปวดหัวข้างเดียวแบบไมเกรน ควรรีบพบแพทย์ทันที
การปวดหัวข้างเดียวแบบไมเกรนเป็นอาการที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ หากใช้วิธีทั่วไปแล้วอาการไม่บรรเทา ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนที่อาการจะรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะหากปล่อยทิ้งไว้แล้วเป็นบ่อยครั้ง อาจกลายเป็นไมเกรนเรื้อรังในที่สุด
แพทย์จะทำการวินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมตามสาเหตุ เช่น จ่ายยา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต หรือแนะนำให้หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอาการ เป็นต้น วิธีเหล่านี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นและไม่กำเริบง่ายอีกต่อไป ดังนั้นอย่าลังเลที่จะเข้าพบแพทย์ เมื่อปวดหัวข้างเดียวแบบไมเกรนที่รุนแรง และไม่หายไปด้วยวิธีทั่วไป จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและช่วยป้องกันไม่ให้เป็นเรื้อรังหรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมาในอนาคตได้
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย