ถ้าเราพูดถึงอาการ “มือชา” สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการที่เส้นประสาทถูกกดทับ (compressive neuropathy) สามารถเปรียบเทียบได้กับการนั่งทับขาตัวเองนาน ๆ โดยที่เส้นประสาทถูกกดทับไปด้วย นั่นเป็นที่มาของอาการชาหรือเหน็บที่บริเวณปลายขาและปลายเท้า
สาเหตุหลักของ มือชา ที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับคือเส้นประสาทที่ผ่านช่องแคบ ๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกกดทับหรือเบียดจากสิ่งรอบข้าง เช่น เอ็น หรือ พังผืด การกดทับนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้งานส่วนนั้น ๆ ซ้ำ ๆ หรือการอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เรามักทำในชีวิตประจำวัน เช่น เขียนหนังสือ ทำงานบ้าน ใช้คอมพิวเตอร์ ทำอาหาร นวดขนมปัง หรือการทำสวน
ระดับของ อาการชามือ สามารถมีตั้งแต่เล็กน้อยที่ไม่รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก ไปจนถึงชามือตลอดเวลา นอกจากอาการชาแล้วยังมักมีอาการปวดแปลบหรือปวดตื้อ ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของอาการปวดจากเส้นประสาท (neuropathic pain) ร่วมด้วย
อาการมือชา กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มควรเฝ้าระวัง
อาการมือชา เป็นไปได้สำหรับกลุ่มคนที่ใช้มือในลักษณะเดิม ๆ ซ้ำ ๆ หรือมีการใช้แรงที่มืออย่างต่อเนื่อง หรืออาจจะอยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน เช่น
- กลุ่มแม่บ้านที่ใช้มือในการทำงานบ้านต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
- กลุ่มคนที่ต้องขับรถทางไกลหรือเป็นเวลานาน
- ผู้ที่เล่นกีฬาบางประเภทที่ต้องใช้มือในการจับอุปกรณ์ เช่น เทนนิส และ แบดมินตัน
- กลุ่มคนที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ซึ่งอาการมือชานับเป็นหนึ่งในอาการของออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
สาเหตุมือชาเกิดจาก
สาเหตุที่เกิด อาการมือชา สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
- มือชาเกิดจาก เส้นประสาทถูกกดทับ (compressive neuropathy) – อาการชาในกรณีนี้เกิดจากการกดทับที่เส้นประสาทที่เดินผ่านช่องแคบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการใช้งานมือในท่าทางเดิม ๆ หรือการใช้แรงที่มืออย่างต่อเนื่อง เช่น การทำงานบ้าน การขับรถทางไกล หรือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้มือจับอุปกรณ์
- อาการชาที่มีสาเหตุจากโรคทางกายร่วมอื่น ๆ – อาการชาในกรณีนี้อาจเกิดจากโรคที่มีผลต่อระบบประสาทหรือระบบอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง หรือโรคข้อเข่าเสื่อม ที่อาจส่งผลต่อการเกิดอาการชาในมือ
อาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ (compressive neuropathy)
อาการชา ที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ (compressive neuropathy) เกิดจากเส้นประสาทหลักในมือถูกกดทับในตำแหน่งหนึ่ง ๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการชาและปวดในบริเวณนั้น กลุ่มนี้มักจะมีอาการชามือเกิดขึ้นด้านหนึ่งของมือเท่านั้น สาเหตุเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดเบียดในตำแหน่งที่ชัดเจน ปัญหาสุขภาพที่ใครๆ ก็เคยเจอมา นั่นก็คือ “ฉี่ไม่สุด” ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อเราต้องการที่จะฉี่แต่ไม่สามารถทำได้ให้สมบูรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาที่มักจะทำให้เรารู้สึกไม่สบายและไม่สะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น การไปทำงาน การเดินทาง หรือแม้แต่การออกไปเที่ยวสนุกสนานก็อาจจะกลายเป็นภาระหนักใจได้เช่นกัน
มือมีเส้นประสาทหลักทั้งหมด 3 เส้น ได้แก่
- เส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve)
- เส้นประสาทอัลนาร์ (Ulnar Nerve)
- เส้นประสาทเรเดียล (Radial Nerve)
อาการมือชา ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากเส้นประสาทมีเดียนที่ข้อมือถูกกดทับ (carpal tunnel syndrome) ซึ่งเส้นประสาทมีเดียนเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงฝ่ามือด้านนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง
อาการชาที่มีสาเหตุจากโรคทางกายร่วม
อาการชา ที่มีสาเหตุจากโรคทางกายร่วมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกดทับเส้นประสาท แต่อาจเกิดจากโรคที่มีผลต่อระบบประสาทหรือระบบอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ปลายประสาทอักเสบ หรือขาดวิตามินบีรุนแรง ในกลุ่มนี้อาจมีอาการชาที่ปลายมือและเท้าพร้อมกัน โดยทั้งสองข้างจะมีอาการชาเท่า ๆ กัน แนะนำให้พบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพื่อให้ได้การดูแลที่เหมาะสมและถูกต้อง ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นบ่อยมากในปัจจุบัน นั่นก็คือ “โรคกระเพาะ” โรคที่ส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของเรา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสบายใจและสุขภาพทั่วไปของเราได้ โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศทั้งชายและหญิงทุกวัย ด้วยเหตุนี้เอง การรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับโรคกระเพาะนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถป้องกันและรักษาโรคให้ดียิ่งขึ้นได้
อาการมือชาจากเส้นประสาทถูกกดทับ (compressive neuropathy)
อาการมือชา จากเส้นประสาทถูกกดทับสามารถแบ่งเป็นระยะต่างๆ ได้ดังนี้
ระยะแรก
- มีอาการมือชาบางช่วง อาจรู้สึกยิบ ๆ ปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ หรือบริเวณที่เส้นประสาทถูกกดทับ
- มีอาการมือชาตอนกลางคืน ช่วงเช้ามืด หรือช่วงตื่นนอน
- มีอาการมือชาเฉพาะในขณะที่ใช้มือทำกิจกรรมบางชนิด ๆ ซึ่งไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก
ระยะที่ 2
- อาการชามักเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ใช้มือทำกิจกรรมใด ๆ
- หยิบจับสิ่งของแล้วไม่มีแรง เนื่องจากความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เส้นประสาทไปเลี้ยง
- นอกจากอาการชา อาจจะมีอาการปวดร่วมด้วย ลักษณะเหมือนโดนไฟช็อต ปวดลึก ๆ ปวดบีบ ๆ ในบริเวณที่ชา
ระยะสุดท้าย
- มีอาการมือชาหรือปวดตลอดเวลา
- มีกล้ามเนื้อฝ่อลีบ เนื่องจากไม่มีเส้นประสาทไปเลี้ยง ซึ่งหากปล่อยไว้นานจะยากต่อการรักษามากขึ้น
แนวทางการรักษาอาการมือชา
การ รักษาอาการมือชา จากการที่เส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับจำเป็นต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น
- หากมีอาการในระยะแรก ๆ ควรพักการใช้งานมือ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้มือซ้ำ ๆ หรือใช้นาน ๆ และทานยาลดการอักเสบ
- สวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อ เพื่อให้เส้นประสาทได้พักการใช้งาน และทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย
- หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการชา หรือปวดบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจจะพิจารณารักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่
- พิจารณาผ่าตัด ในรายที่อาการยังไม่ดีขึ้น และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
การป้องกันและความเตรียมพร้อมก่อนเกิดอาการมือชา
การป้องกันและเตรียมพร้อมก่อนเกิด อาการมือชา เป็นสิ่งที่สำคัญ แม้ว่าอาการมือชาจะเกิดจากการใช้งานข้อมือติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน การป้องกันยังมีประสิทธิภาพเพื่อลดความเสี่ยงได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้งานมือในการทำงานหนัก ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- ระหว่างการใช้งาน เช่น การพิมพ์คอมพิวเตอร์ รักษาร่างกายในท่าตรงและไม่ให้มือต้องทำงานหนักขึ้น
- ปรับตำแหน่งให้มือสูงกว่าข้อมือเล็กน้อย แขนควรวางอยู่ข้างลำตัวในท่าที่สบาย ๆ และไม่เกร็ง
- ฝึกให้มืออีกข้างทำงานแทนมือที่ใช้งานติดต่อกัน เพื่อลดการทำงานหนักของมือที่ใช้งานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง ช่วยให้มืออยู่ในท่าที่ถูกต้อง
- วางแผนเวลาการทำงานเพื่อให้มือได้มีเวลาพัก
- ดูแลสุขภาพทั่วไปและควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- การยืดเหยียดและออกกำลังกายข้อมือ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็น
สรุป
มือชาเกิดจาก การกดทับเส้นประสาทในข้อมือ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้งานมือในท่าที่ไม่ถูกต้องหรือในกิจกรรมที่ต้องใช้มืออย่างต่อเนื่อง เช่น การนั่งทับขาตัวเองนาน ๆ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การใช้มือในการทำงานหนัก ๆ หรือการเล่นกีฬาที่ต้องใช้มืออย่างมาก เป็นต้น
แนวทางการ รักษามือชา มักจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยมีวิธีการรักษาที่พบได้บ่อยได้แก่การพักผ่อนและหยุดใช้งานมือชั่วคราว เพื่อลดการกดทับเส้นประสาท การฝึกออกกำลังกายและยืดเหยียดส่วนต่าง ๆ ของตัวและมือ และการใช้อุปกรณ์ช่วยเพื่อลดการกดทับ เช่น การใส่ splint หรือบริเวณข้อมือ เป็นต้น ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาการรักษาด้วยยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบ และในกรณีที่มีความรุนแรงมากถึงขั้นที่ทำให้มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจจะต้องพิจารณาผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาในบางกรณี
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย