อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร เป็นโรคกรดไหลย้อนหรืออาหารเป็นพิษ

อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร

คลื่นไส้ และไม่สบายท้องหลังรับประทานอาหารเป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน อาการเหล่านี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคกรดไหลย้อนที่รุนแรง ไปจนถึงการได้รับอาหารที่มีคุณภาพต่ำหรือเป็นพิษ ประชาชนจำนวนมากประสบปัญหานี้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ทำให้พวกเขาไม่สามารถหาวิธีการจัดการและรักษาอาการดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม

การแยกแยะว่า อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร มาจากสาเหตุใด ระหว่างโรคกรดไหลย้อนหรืออาหารเป็นพิษ เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การมีความรู้เกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนและสัญญาณของอาหารเป็นพิษ พร้อมทั้งเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอาการทั้งสอง จะช่วยให้วินิจฉัยสาเหตุได้โดยง่ายและหาวิธีการดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งจะพาไปดูโรคกรดไหลย้อนและอาหารเป็นพิษว่ามีสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาอย่างไร

สาเหตุของอาหารเป็นพิษเกิดจากอะไร ?

ร่างกายได้รับเชื้อโรคจากการรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน อาจเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือไข่ตัวอ่อนหนอนพยาธิที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร ไม่ว่าจะเป็น อาหารค้างคืน เนื้อสัตว์สุกไม่พอ หรืออาหารดิบ เมื่อรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรคโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ร่างกายก็จะพยายามขับออก ทำให้มี อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ปวดหัว กระหายน้ำ และมีไข้ อาการจะรุนแรงหรือไม่ขึ้นกับปริมาณเชื้อโรคที่รับเข้าไป

คลื่นไส้หลังทานอาหาร กับอาการอาหารเป็นพิษ

คลื่นไส้หลังทานอาหาร กับอาการอาหารเป็นพิษ

อาการของการได้รับ สารพิษจากอาหาร ไม่ได้มีเพียงอาการท้องเสียเท่านั้น บางรายอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะและอาเจียนร่วมด้วย อาการเหล่านี้มักจะเริ่มภายหลังการรับประทานอาหารทันที หรืออาจเกิดขึ้นภายใน 4-30 ชั่วโมงหลังจากนั้น โดยปกติแล้ว อาการพิษจากอาหารจะไม่รุนแรงมากนัก และมักจะหายไปเองภายใน 24-48 ชั่วโมง

หากได้รับการรักษาเบื้องต้นด้วยการดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ งดอาหารรสจัด และพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรงอื่น ๆ เช่น ไข้สูง เจ็บแน่นหน้าอก หรือถ่ายเป็นเลือด ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน หากมีอาการ ปวดเอวด้านหลังขวา ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาทางสมองหรือระบบประสาท การรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็วจะช่วยลดอาการปวดและป้องกันอาการรุนแรงได้ ไม่ควรรอจนกว่าอาการจะหายไปเอง หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด อย่ารอให้หยุดถ่ายเอง มาดูกันว่ามีอาการอะไรบ้าง

  • มีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำหรือมีเลือดปนออกมา ร่วมกับมีไข้สูงและรู้สึกอ่อนเพลีย
  • มีอาการคลื่นไส้หลังทานอาหารอาเจียนรุนแรง อาเจียนออกมาเป็นระยะ ๆ ติดต่อกันไม่หยุด หรืออาเจียนออกมาพร้อมกับมีเลือดปนออกมาด้วย
  • มีอาการหนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และหายใจลำบาก

อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคที่รุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด

ป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดอาหารเป็นพิษ

เพื่อป้องกันอาการ คลื่นไส้หลังรับประทานอาหาร และลดความเสี่ยงจากอาหารเป็นพิษ ควรปฏิบัติดังนี้

  • รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงอาหารค้างคืน
  • หากอาหารมีรูปร่าง รสชาติ กลิ่น หรือสีผิดปกติ ไม่ควรรับประทาน
  • ล้างทำความสะอาดผักและผลไม้ก่อนรับประทาน
  • ดื่มเฉพาะน้ำสะอาด
  • เมื่อรับประทานอาหารร่วมกัน ให้ใช้ช้อนกลาง
  • ล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดก่อนทำอาหารและก่อนรับประทาน

อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร ของโรคกรดไหลย้อนสาเหตุมาจากอะไร

อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร ของโรคกรดไหลย้อนสาเหตุมาจากอะไร

  • การที่หลอดอาหารส่วนปลายคลายตัวโดยที่ยังไม่กลืนอาหาร
  • ปัญหาการบีบตัวของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เนื่องจากความดันภายในหลอดอาหารส่วนปลายลดลงผิดปกติ หรือมีการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร ส่งผลให้อาหารค้างในกระเพาะนานกว่าปกติ
  • การติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร หรืออาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
  • พฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น นอนทันทีหลังรับประทานอาหาร รับประทานอาหารมัน ๆ มากเกินไป
  • ภาวะความเครียด ซึ่งทำให้หลอดอาหารมีความไวและอ่อนไหวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น รวมถึงกรดในกระเพาะอาหาร
  • ปัจจัยอื่น ๆ เช่น โรคอ้วน การตั้งครรภ์ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์หรือน้ำอัดลม และการรับประทานยาบางชนิด

อาการแบบไหนใช่โรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่มีอาการหลากหลาย หากคุณประสบอาการต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าคุณกำลังเผชิญกับโรคกรดไหลย้อนอยู่ หรืออาจเกิดจาก ท้องลมคืออะไร ท้องลมเกิดจากการสะสมของแก๊สในทางเดินอาหารภายในลำไส้ ซึ่งอาจส่งผลให้รู้สึกท้องอืด ปวดท้อง หรืออาจมีเสียงดังเกิดขึ้นในท้อง การรับประทานอาหารที่เป็นประจำ การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ช่วยลดการเกิดท้องลมได้

  • แสบร้อนบริเวณหน้าอก โดยมักจะรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก
  • มีอาการเรอเปรี้ยว รสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
  • ท้องอืด แน่นท้อง เหมือนอาหารไม่ย่อย
  • อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร อาเจียน หลังรับประทานอาหาร
  • เจ็บหน้าอก จุกแน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนมีก้อนติดคอ
  • หายใจลำบาก ไอแห้ง ๆ เสียงแหบพร่า
  • เจ็บคอเรื้อรัง

การวินิจฉัยเมื่อเป็นกรดไหลย้อน

การซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น

โดยปกติแพทย์จะวินิจฉัย โรคกรดไหลย้อน จากอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก หากผู้ป่วยมีอาการทางหลอดอาหารที่สอดคล้องกับภาวะกรดไหลย้อน แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม

การตรวจเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำหรือรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่น ๆ ที่น่ากังวล เช่น กลืนลำบาก, กลืนเจ็บ, อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร, อาเจียนบ่อยครั้ง, มีประวัติอาเจียนเป็นเลือด, ปวดท้องรุนแรง, ถ่ายอุจจาระสีดำ, ซีด, เบื่ออาหาร, น้ำหนักลด แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร, การเอกซเรย์กลืนสารทึบรังสี, การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร, การตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร

วิธีรักษาเมื่อตรวจพบว่าเป็นกรดไหลย้อน

วิธีรักษาเมื่อตรวจพบว่าเป็นกรดไหลย้อน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหาร

  • การรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • การรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยวิธีการทางการแพทย์ที่ไม่ต้องผ่าตัด ได้แก่ เทคนิค TIF (Transoral Incisionless Fundoplication) ซึ่งเป็นการเย็บหูรูดหลอดอาหารโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • การผ่าตัดเย็บหูรูดหลอดอาหาร (Fundoplication Surgery) เพื่อรักษาอาการกรดไหลย้อน

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน น้ำอัดลม กระเทียม และหอมหัวใหญ่ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ แต่แบ่งเป็นมื้อย่อย ๆ หลาย ๆ มื้อ
  • ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปฏิบัติสมาธิหรือสวดมนต์
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะในกรณีที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นภาวะน้ำหนักเกิน เมื่อน้ำหนักลดลง ความดันในกระเพาะอาหารก็จะลดลงด้วย ทำให้อาการกรดไหลย้อนลดลง และยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
  • หลังรับประทานอาหารไม่ควรนอนราบทันที ควรรอประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือหากต้องนอนให้หนุนหมอนสูงๆ และไม่ควรออกกำลังกายหนักหลังรับประทานอาหารทันที

สรุป

อาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร เป็นอาการที่พบได้บ่อยในหลายโรค จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงก่อน โดยทั่วไปแล้ว อาการดังกล่าวอาจเกิดจากโรคกรดไหลย้อนหรืออาหารเป็นพิษได้ เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า