ขาบวม เป็นอาการที่เราพบเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องยืนหรือนั่งนาน ๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงติดต่อกัน อาการขาบวม อาจเริ่มจากบริเวณข้อเท้า แล้วค่อย ๆ ลุกลามขึ้นไปที่น่อง และต้นขา ซึ่งในบางรายอาจบวมทั้งขาจนรู้สึกไม่สบายตัว
แม้อาการขาบวมดูเหมือนจะไม่รุนแรงนัก แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามอาการนี้ แต่ควรศึกษาสาเหตุว่าขาบวมเกิดจากอะไรและหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสม
ขาบวมเกิดจากอะไรได้บ้าง
หากคุณสังเกตเห็นว่าขาของคุณบวมขึ้นมาอย่างผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง ขาบวม เป็นอาการที่พบได้บ่อย และมีสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ไปจนถึงโรคร้ายแรง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจสาเหตุและรู้จักวิธีการจัดการอย่างเหมาะสม สาเหตุที่ทำให้ขาบวมมีดังนี้
- ยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน : การอยู่ในท่าทางเดิม ๆ เป็นเวลานานทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้น้ำและของเหลวสะสมที่ขา
- รับประทานอาหารเค็มมากเกินไป : โซเดียมส่วนเกินจะทำให้ร่างกายดูดซึมและกักเก็บน้ำมากขึ้น น้ำจึงสะสมที่ขา
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยา : ยาบางชนิด เช่น ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาคุมกำเนิด หรือสเตียรอยด์ อาจทำให้ขาบวมได้
- น้ำหนักตัวมากเกินไป : ความอ้วนส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนเลือด ทำให้ของเหลวสะสมที่ขาได้ง่ายขึ้น
- ตั้งครรภ์ : ในช่วงตั้งครรภ์ ฮอร์โมนและการเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือดอาจนำไปสู่อาการขาบวม
- การบาดเจ็บที่ขา : อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่ขาอาจทำให้บวมได้ เนื่องจากเลือดออกและการอักเสบ
- ปัญหาด้านฮอร์โมน : ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ในภาวะหมดประจำเดือน อาจส่งผลให้เกิดการบวมที่ขาได้
อาการขาบวม/เท้าบวม บ่งบอกถึงโรคร้ายอะไรได้บ้าง ?
ขาบวม เท้าบวม บ่งบอกถึงโรคต่าง ๆ ดังนี้
- เส้นเลือดดำที่ขาอุดตัน
การไหลเวียนเลือด เป็นกระบวนการสำคัญของร่างกาย เมื่อหัวใจบีบตัว เลือดดีจะถูกส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายผ่านเส้นเลือดแดง หลังจากนั้น เลือดเสียจะไหลกลับสู่หัวใจผ่านเส้นเลือดดำ เพื่อขจัดของเสียและรับออกซิเจนใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการอุดตันของเส้นเลือดดำที่ขา จะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงตามมา
การอุดตันของเส้นเลือดดำที่ขาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การมีลิ่มเลือดอุดตัน หรือมีสิ่งแปลกปลอมไปกดทับเส้นเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดกลับสู่หัวใจผิดปกติ เลือดจะค้างอยู่บริเวณขา ทำให้ขาบวมและอาจนำไปสู่อาการรุนแรงอื่น ๆ ตามมา
- ต่อมน้ำเหลืองอุดตัน
นอกเหนือจาก ระบบหมุนเวียนเลือด ร่างกายของเรายังมีระบบน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่สำคัญในการขนส่งสารต่าง ๆ และกำจัดของเสีย ต่อมน้ำเหลืองเป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบนี้ แต่หากมีการอุดตัน อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้
การอุดตันของต่อมน้ำเหลืองมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ โรคมะเร็ง หรือผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยรังสี เมื่อเกิดการอุดตัน จะส่งผลให้น้ำเหลืองไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ ทำให้เกิดการคั่งค้างและสะสมในบริเวณขาหรือเท้า ส่งผลให้บวมขึ้น
อาการขาหรือเท้าบวมเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาต่อมน้ำเหลืองอุดตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการบวมเพียงข้างเดียว ซึ่งเป็นอาการเด่นของภาวะนี้ หากสังเกตพบอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงโรคร้ายแรงอื่น ๆ
- ขาอักเสบติดเชื้อ
การ ติดเชื้อที่บริเวณขา หรือเท้าอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากปล่อยปละละเลยอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ขาอักเสบติดเชื้อเป็นสภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจแพร่เข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือรอยถลอก บริเวณที่ติดเชื้อจะมีอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บปวด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการเหล่านี้อาจลุกลามและทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้
บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อที่ขา ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต และผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ดังนั้น หากพบอาการขาอักเสบติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมทันที การปล่อยปละละเลยอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- โรคหัวใจ
หัวใจ ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกายของเรา มีหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากหัวใจทำงานผิดปกติหรือมีประสิทธิภาพลดลง ก็จะส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนเลือดไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้
เมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้เลือดคั่งในปอดหรือบริเวณขา ในกรณีของการคั่งเลือดในปอด อาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ส่วนการคั่งเลือดบริเวณขา อาจทำให้เกิดอาการบวมขึ้นได้ โดยจุดสังเกตที่สำคัญคือ หากเกิดอาการบวมขึ้นทั้งสองข้าง นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาหัวใจ
เพื่อตรวจสอบอาการบวมขาว่าเกิดจากการคั่งของเลือดหรือไม่ สามารถทำการทดสอบง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงไปที่หน้าแข้งประมาณ 10 วินาที หากเห็นรอยบุ๋มหลังจากปล่อยนิ้วออก แสดงว่ามีการคั่งของเลือดในบริเวณนั้น ซึ่งหากพบอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว
- โรคไต
ไต เป็นอวัยวะสำคัญที่มีหน้าที่ในการกรองของเสียและปรับสมดุลน้ำ แร่ธาตุ และเกลือแร่ในร่างกาย เมื่อไตทำงานผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่อระบบการขับถ่ายของร่างกาย ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำและสารพิษต่างๆ ซึ่งจะแสดงออกในรูปของอาการบวม
อาการบวมจากโรคไตมักจะเริ่มจากการบวมที่ขาทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากน้ำและเกลือแร่สะสมในช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อ การตรวจสอบเบื้องต้นสามารถทำได้โดยใช้นิ้วกดบริเวณหลังเท้าหรือน่อง หากพบว่ามีรอยบุ๋มเมื่อกดแล้วปล่อย อาจเป็นสัญญาณของการบวมจากโรคไต
- โรคตับ
ตับ เป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการขจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย เมื่อตับทำงานผิดปกติหรือเป็นโรคตับ อาจส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะอาการขาบวม
โรคตับที่อาจทำให้เกิดอาการขาบวม ได้แก่
- โรคตับแข็ง เกิดจากการสะสมของพังผืดและการอักเสบเรื้อรังในตับ ส่งผลให้ตับบวมและเนื้อเยื่อตับถูกทำลายจนเกิดเป็นพังผืด ทำให้ตับทำงานลดลง อาจมีอาการขาบวมจากการคั่งของน้ำในร่างกาย
- มะเร็งตับ เป็นการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ตับ อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก หรือโรคตับแข็ง มะเร็งตับจะทำให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำคั่งและขาบวมได้
นอกจากอาการขาบวมแล้ว โรคตับยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องโต ตัวเหลือง ตาเหลือง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น หากพบอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม เนื่องจากโรคตับบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา
- โรคไทรอยด์ต่ำ
ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณคอด้านหน้า มีหน้าที่สำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งควบคุมกระบวนการเมตาบอลิซึมและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โรคไทรอยด์ต่ำ หรือภาวะไทรอยด์ทำงานบกพร่อง เกิดจากการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ลดลงจากปกติ ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายชะงักงัน อาการที่พบบ่อยได้แก่ รู้สึกหนาวง่าย อ่อนเพลีย ท้องผูก นอกจากนี้ยังอาจพบอาการบวมที่ขาและใบหน้าได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น
แนวทางการรับมือกับอาการขาบวม
อาการ ขาบวม มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะหลอดเลือดอุดตัน ความผิดปกติของหัวใจและไต หรือแม้กระทั่งผลข้างเคียงจากการใช้ยา ดังนั้น การรับมือกับอาการขาบวมจึงควรคำนึงถึงสาเหตุที่แท้จริงด้วย มิฉะนั้น การรักษาเพียงแค่บรรเทาอาการอาจไม่ได้ผลในระยะยาว
หากอาการขาบวมเกิดจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ การรักษาโดยทั่วไปคือ พักการใช้ขาบริเวณที่บวม ประคบน้ำเย็นเป็นระยะ ๆ ใช้ผ้ายืดพันรัดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และพยายามยกขาให้สูงกว่าระดับหัวใจ โดยเฉพาะในระหว่างพักผ่อน เพื่อลดการคั่งของน้ำเหลว
สำหรับผู้ที่มีอาการขาบวมจากภาวะบวมน้ำ สามารถควบคุมอาการได้โดย
- ลดการบริโภคเกลือและอาหารเค็ม เพื่อไม่ให้ร่างกายดูดซึมน้ำมากเกินไป
- พยายามยกขาให้สูงกว่าระดับหัวใจเมื่อมีโอกาส เพื่อช่วยระบายน้ำเหลว
- เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ อย่าอยู่กับที่นาน ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
- ออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น เดินเร็ว เพื่อช่วยในการระบายน้ำเหลว
หากอาการขาบวมไม่ดีขึ้นหรือกลับรุนแรงมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากอาการขาบวมในระยะยาวอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง ไม่ควรละเลยแม้แต่น้อย
สรุป
ขาบวม เป็นอาการที่ไม่ควรมองข้าม หากปล่อยปละละเลยโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัย
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย