ความดันโลหิตสูง โรคเงียบที่ใครก็เป็นได้

ความดันโลหิตสูง โรคเงียบที่ใครก็เป็นได้

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นโรคเงียบที่ใครก็เป็นได้ ไม่ว่าจะผอมหรืออ้วน โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น กินเค็ม เครียดเรื้อรัง หรือไม่ออกกำลังกาย แม้ไม่มีอาการ แต่เมื่อความดันพุ่งถึง 160 หรือ 200 ก็อาจเกิดอันตรายเฉียบพลันได้ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจโรคนี้อย่างรอบด้าน พร้อมวิธีป้องกันและรับมืออย่างปลอดภัยทุกช่วงวัย

ความดันโลหิตสูงคืออะไร?

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) คือภาวะที่แรงดันของเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงสูงกว่าระดับปกติอย่างต่อเนื่อง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหารุนแรง เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย หรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

แม้ว่าโรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เครียดสะสม หรือรับประทานอาหารเค็มเป็นประจำ

ค่าความดันโลหิตปกติอยู่ที่เท่าไหร่

ค่าความดันโลหิตประกอบด้วย 2 ค่า ได้แก่

  • ค่าบน (Systolic) ความดันขณะหัวใจบีบตัว
  • ค่าล่าง (Diastolic) ความดันขณะหัวใจคลายตัว

โดยทั่วไป ค่าความดันที่ถือว่า “ปกติ” คือประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท หากวัดได้สูงกว่านี้เป็นประจำ โดยเฉพาะเกิน 130/80 ขึ้นไป อาจเริ่มเข้าสู่ภาวะเสี่ยงที่ต้องระวัง

ระดับความดันแบ่งออกเป็นกี่ระดับ

ค่าความดันโลหิตสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระดับ ดังนี้

  • ระดับปกติ ค่าบนต่ำกว่า 120 และค่าล่างต่ำกว่า 80
  • ระดับค่อนข้างสูง ค่าบนอยู่ระหว่าง 120–129 และค่าล่างต่ำกว่า 80
  • ระดับระยะที่ 1 ค่าบนอยู่ที่ 130–139 หรือค่าล่าง 80–89
  • ระดับระยะที่ 2 ค่าบน 140 ขึ้นไป หรือค่าล่าง 90 ขึ้นไป
  • ระดับวิกฤต ค่าบนเกิน 180 และค่าล่างเกิน 120 (ควรพบแพทย์ด่วน)

ความดัน 140, 150, 160 ถือว่าสูงไหม?

ตัวเลขอย่าง 140, 150 หรือ 160 หลายคนอาจคิดว่าไม่น่ากลัว แต่ในความเป็นจริง หากวัดแล้วได้ค่าเหล่านี้บ่อยครั้ง ถือว่าเข้าสู่ช่วงความดันโลหิตสูงระยะที่ 2 และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นชัดเจน

ความดัน 140 สูงไหม?

ใช่ครับ ถ้าค่าบนเท่ากับ 140 และค่าล่างประมาณ 90 ถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงระยะที่ 2 แล้ว ควรเริ่มดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย และลดความเครียด

ความดัน 150 อันตรายไหม?

ระดับนี้ถือว่าสูงมากขึ้นไปอีก และอาจทำให้หลอดเลือดเริ่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว หากปล่อยไว้นานโดยไม่ควบคุม มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจสูงมาก

ความดัน 160 อันตรายไหม?

เมื่อความดันสูงถึง 160 ขึ้นไป ถือว่าอันตรายอย่างชัดเจน ผู้ป่วยในระดับนี้ควรเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น หัวใจวาย หรือเส้นเลือดในสมองแตก

อาการของโรคความดันโลหิตสูง

หนึ่งในความน่ากลัวของความดันโลหิตสูงคือ มันสามารถเป็น “ภัยเงียบ” ได้อย่างแท้จริง ผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีอาการใด ๆ เลยในระยะแรก ทำให้ไม่รู้ตัวว่าร่างกายกำลังเผชิญความเสี่ยงจนเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เช่น หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตก

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบางอย่างที่สามารถสังเกตได้เบื้องต้น และอาการจะชัดเจนขึ้นเมื่อความดันขึ้นสูงเกินระดับปกติ

สัญญาณเตือนเบื้องต้น

แม้อาการจะแตกต่างกันในแต่ละคน แต่สัญญาณเบื้องต้นที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • เวียนศีรษะ หน้ามืด โดยเฉพาะเวลาลุกเร็ว
  • ปวดศีรษะช่วงท้ายทอย
  • ใจสั่น หัวใจเต้นแรงผิดปกติ
  • เหนื่อยง่าย แม้ทำกิจกรรมเบา ๆ
  • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
  • เลือดกำเดาไหลบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ

หากคุณมีอาการเหล่านี้ร่วมกับค่าความดันที่สูง ควรเริ่มสังเกตและพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยละเอียด

ความดัน 200 อาการเป็นอย่างไร

ความดันที่สูงถึง 200/120 มม.ปรอท หรือมากกว่านั้น ถือว่าเข้าสู่ภาวะ “วิกฤตความดันโลหิตสูง” ซึ่งอาจเกิดอาการรุนแรงและต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน

อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  • ปวดศีรษะรุนแรงแบบเฉียบพลัน
  • มึนงง สับสน หรือพูดไม่รู้เรื่อง
  • เจ็บหน้าอกแน่น ๆ หายใจไม่ออก
  • อัมพาตครึ่งซีก ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง
  • สายตาพร่ามัว หรือเห็นภาพซ้อน
  • อาเจียนพุ่ง หรือหมดสติ

หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับค่าความดัน 200 ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ห้ามรอหรือพยายามรักษาเองที่บ้าน

ความดันสูงแต่ไม่มีอาการ อันตรายไหม?

แม้ไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่ความดันที่สูงเกิน 130/80 เป็นประจำก็ถือว่าอยู่ในช่วงเสี่ยง โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการควบคุม ค่าเหล่านี้สามารถทำลายหลอดเลือดไปอย่างช้า ๆ ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ ไตวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองในอนาคตได้

ในหลายกรณี ผู้ป่วยที่ดูแข็งแรงดี กลับมีความดันสูงและต้องพบแพทย์เมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนกะทันหัน เช่น เส้นเลือดแตกในสมองหรือหัวใจขาดเลือด

ดังนั้น การไม่มีอาการไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ตรวจสุขภาพ ควรวัดความดันเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีคนในครอบครัวเคยเป็น

ความดันขึ้นสูงกะทันหัน ควรทำอย่างไร?

ภาวะความดันโลหิตสูงกะทันหัน หรือที่เรียกกันว่า “Hypertensive crisis” คือสถานการณ์ที่ค่าความดันโลหิตพุ่งสูงเกิน 180/120 มม.ปรอทแบบฉับพลัน อาจเกิดได้ทั้งจากความเครียดจัด การลืมกินยาควบคุมความดัน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง ภาวะนี้อันตรายถึงชีวิตถ้าไม่ได้รับการดูแลทันที

ความดันขึ้น 200 ควรทำอย่างไร

หากวัดค่าความดันแล้วพบว่า สูงถึง 200/120 หรือมากกว่านั้น สิ่งที่ควรทำทันทีคือ

  • หยุดกิจกรรมทุกอย่าง แล้วนั่งพักในที่อากาศถ่ายเท
  • ไม่ควรนอนราบทันที เพราะอาจเพิ่มแรงดันในสมอง
  • ห้ามดื่มกาแฟหรืออาหารเค็ม
  • รีบโทรขอความช่วยเหลือ หรือไปโรงพยาบาลทันที
  • หากมีอาการร่วม เช่น ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก หรือชาครึ่งซีก ต้องเข้าห้องฉุกเฉินทันที

การพยายามรักษาเองที่บ้านในระดับนี้อาจไม่เพียงพอ และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น หลอดเลือดในสมองแตกหรือหัวใจล้มเหลว

ความดันขึ้นสูงกะทันหันทํายังไง

หากรู้สึกใจสั่น หน้ามืด หรือเวียนหัวอย่างรวดเร็ว ควรสงสัยว่าความดันอาจกำลังขึ้นกะทันหัน และสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนเบื้องต้นนี้

  1. นั่งพักทันที อย่ายืนหรือเดินเร็ว เพราะอาจทำให้ล้ม
  2. ควรวัดความดันซ้ำ ทุก 5–10 นาที หากมีเครื่องวัดที่บ้าน
  3. หลีกเลี่ยงการตื่นตระหนก เพราะความเครียดอาจทำให้ความดันเพิ่มขึ้นอีก
  4. หากเคยมีประวัติความดันสูงและมี “ยาพ่นใต้ลิ้น” หรือ “ยาควบคุมเฉียบพลัน” ให้ใช้ตามแพทย์สั่ง
  5. หากความดันไม่ลดลงภายใน 30 นาที หรือมีอาการผิดปกติ ให้ไปโรงพยาบาลทันที

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่บ้าน

แม้ไม่สามารถรักษาได้ 100% ที่บ้านในกรณีฉุกเฉิน แต่การช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างถูกวิธีอาจลดความรุนแรงของอาการได้

  • ให้นั่งหลังพิง มุม 45 องศา เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
  • วัดความดันซ้ำเพื่อประเมินสถานการณ์
  • ให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อคลายความเครียด
  • ห้ามให้กาแฟ ชา หรืออาหารรสจัด
  • หากผู้ป่วยเคยใช้ยาลดความดันเฉียบพลัน ให้ใช้ตามคำแนะนำแพทย์เท่านั้น ห้ามใช้ยาคนอื่น
  • หากผ่านไป 20–30 นาทีแล้วค่าความดันยังสูงหรืออาการแย่ลง ควรพาไปโรงพยาบาลด่วน

ใครบ้างเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะผอมหรืออ้วน วัยรุ่นหรือผู้สูงอายุ เพราะปัจจัยเสี่ยงมีทั้งด้านร่างกาย พฤติกรรม และกรรมพันธุ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงจะสะสมจนกลายเป็นโรคโดยไม่รู้ตัว

คนอ้วน ทำไมเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน โดยเฉพาะ “อ้วนลงพุง” จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าคนรูปร่างปกติหลายเท่า เนื่องจาก

  • ไขมันที่สะสมรอบอวัยวะภายในทำให้หลอดเลือดตีบแคบ
  • หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
  • การดื้อต่ออินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติในคนอ้วน ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต

นอกจากนี้ คนอ้วนยังมักมีพฤติกรรมเสี่ยงร่วม เช่น กินเค็ม นอนดึก ขาดการออกกำลังกาย ซึ่งล้วนเป็นตัวเร่งให้ความดันพุ่งสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

คนไม่อ้วนก็เสี่ยงได้ จากพันธุกรรมและพฤติกรรม

แม้คนรูปร่างปกติจะดูแข็งแรงภายนอก แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากโรคความดันโลหิตสูง หากมีปัจจัยเหล่านี้ร่วมอยู่

  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันสูง
  • ใช้ชีวิตเร่งรีบ เครียดสะสมเป็นประจำ
  • รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  • ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่บ่อย
  • นอนไม่พอ หรือนอนผิดเวลาเรื้อรัง

แม้จะผอม แต่พฤติกรรมเหล่านี้สามารถทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และเป็นจุดเริ่มต้นของความดันโลหิตสูงโดยไม่รู้ตัว

วัยทำงาน วัยสูงอายุ และความเครียดเรื้อรัง

  • วัยทำงาน มักเผชิญกับความเครียดจากงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และอาหารเร่งด่วนที่มีโซเดียมสูง รวมถึงการนั่งทำงานนานโดยไม่เคลื่อนไหว ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ค่าความดันสูงขึ้นอย่างช้า ๆ
  • วัยสูงอายุ เป็นกลุ่มที่พบภาวะความดันสูงมากที่สุด เพราะหลอดเลือดเสื่อมตามอายุ หัวใจเริ่มทำงานช้าลง และระบบควบคุมความดันในร่างกายลดประสิทธิภาพลง
  • ความเครียดเรื้อรัง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ความเครียดสะสมสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัวและความดันสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ความเกี่ยวข้องระหว่าง “โรคอ้วน” และ “ความดันโลหิตสูง”

โรคอ้วนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเรื่องรูปร่าง แต่ส่งผลโดยตรงต่อระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจอย่างลึกซึ้ง หลายคนไม่รู้ว่าไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายโดยเฉพาะรอบอวัยวะภายในนั้น ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายแปรปรวนและนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงในระยะยาว

ไขมันในร่างกายส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดอย่างไร

เมื่อร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะไขมันรอบอวัยวะภายใน จะทำให้

  • หลอดเลือดแข็งตัวและตีบลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ยากขึ้น
  • หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดผ่านหลอดเลือดที่แคบลง
  • ไตทำงานหนักขึ้น ทำให้ดูดโซเดียมกลับเข้าร่างกายมากเกินไป ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ความดันพุ่ง

ผลรวมของกระบวนการเหล่านี้คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมักไม่แสดงอาการชัดเจน

อ้วนลงพุง - ภัยเงียบที่ทำให้ความดันพุ่ง

ไขมันหน้าท้อง หรือที่เรียกว่า “อ้วนลงพุง” เป็นชนิดที่อันตรายที่สุด เพราะ

  • เป็นไขมันที่อยู่รอบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ หลอดเลือด และลำไส้
  • กระตุ้นการหลั่งสารอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
  • ส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมนและการทำงานของอินซูลิน

คนที่อาจดูไม่อ้วนจากรูปร่างภายนอก แต่มีรอบเอวเกิน 90 ซม. (ชาย) หรือ 80 ซม. (หญิง) ถือว่าเข้าข่ายอ้วนลงพุง และควรเฝ้าระวังภาวะความดันสูงเป็นพิเศษ

โรคอ้วนระดับไหนเสี่ยงความดันสูง?

โดยทั่วไปจะวัดจากค่า BMI (ดัชนีมวลกาย)

  • BMI 23–24.9 น้ำหนักเกิน → เริ่มเสี่ยง
  • BMI 25–29.9 อ้วนระดับ 1 → ความเสี่ยงสูงขึ้นชัดเจน
  • BMI ≥ 30 อ้วนระดับ 2 ขึ้นไป → เสี่ยงความดันโลหิตสูง, เบาหวาน และโรคหัวใจอย่างมาก

ยิ่งมี BMI สูง และมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องมาก ความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงยิ่งเพิ่มแบบทวีคูณ

ลดน้ำหนักแล้วความดันลดจริงหรือ?

การลดน้ำหนักช่วยให้

  • หลอดเลือดผ่อนคลายมากขึ้น ลดแรงต้านการไหลเวียนของเลือด
  • ลดภาระการทำงานของหัวใจ
  • ปรับระดับอินซูลินให้สมดุลมากขึ้น
  • ร่างกายขับโซเดียมและน้ำส่วนเกินได้ดีขึ้น

จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่า หากสามารถลดน้ำหนักได้ 5–10% ของน้ำหนักตัวเดิม จะสามารถลดค่าความดันลงได้ 5–10 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มีผลต่อสุขภาพอย่างมาก

ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันต่างหากที่เป็นตัวเร่งให้ความดันพุ่งโดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมบางอย่างอาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็สามารถกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้

อาหารเค็ม

การบริโภคโซเดียมเกินความจำเป็นในแต่ละวัน คือหนึ่งในสาเหตุหลักของความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอาหารที่คนไทยนิยม เช่น

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  • อาหารหมักดอง และน้ำจิ้มรสจัด
  • ขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็ม

โซเดียมในอาหารจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น เพิ่มปริมาณเลือดในระบบไหลเวียน → ความดันโลหิตจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หากลดการบริโภคเกลือเพียงเล็กน้อยในทุกวัน ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้

การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

ทั้งบุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นศัตรูร้ายต่อระบบหลอดเลือด

  • บุหรี่ ทำให้หลอดเลือดหดตัว หัวใจเต้นเร็วขึ้น และผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพ
  • แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการดื่มในปริมาณมากหรือต่อเนื่อง จะกระตุ้นหัวใจให้เต้นแรงขึ้น เพิ่มแรงดันในระบบไหลเวียนเลือด

แม้การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยบางชนิดจะมีประโยชน์ แต่หากเกินขีดจำกัด หรือดื่มเป็นประจำ จะทำให้ควบคุมความดันยากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

การนอนหลับและความเครียดสะสม

การนอนไม่พอหรือนอนหลับไม่ลึก ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักอย่างแท้จริง ทำให้

  • ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ
  • ฮอร์โมนเครียด (Cortisol) คงอยู่ในระดับสูง
  • หลอดเลือดหดตัว และหัวใจทำงานหนักแม้ในขณะพักผ่อน

ในขณะที่ความเครียดเรื้อรัง ไม่ว่าจะจากงาน ความกังวล หรือปัญหาส่วนตัว จะกระตุ้นให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานมากเกินไป ทำให้ความดันพุ่งโดยไม่รู้ตัว แม้จะรูปร่างดีหรืออายุยังน้อยก็ตาม

การควบคุมความดันโลหิตไม่ใช่เรื่องของยาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการดูแลตัวเองและการรักษาอย่างเหมาะสม หากสามารถปรับพฤติกรรมร่วมกับการใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ความดันก็สามารถกลับมาอยู่ในระดับปลอดภัยได้ในระยะยาว

การรักษาด้วยยา

หากระดับความดันสูงเกิน 140/90 มม.ปรอทอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีธรรมชาติ แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดความดัน ซึ่งอาจประกอบด้วย

  • ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ช่วยลดปริมาณน้ำและโซเดียมในร่างกาย
  • ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ (Beta-blockers) ทำให้หัวใจทำงานช้าลงและเบาลง
  • ยาขยายหลอดเลือด (ACE inhibitors / ARBs) ช่วยให้หลอดเลือดผ่อนคลาย
  • ยาควบคุมระบบประสาท (Calcium channel blockers) ลดแรงต้านการไหลเวียนของเลือด

ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเองแม้ความดันจะกลับมาเป็นปกติ เพราะการหยุดยาอย่างรวดเร็วอาจทำให้ความดันพุ่งขึ้นอย่างอันตรายได้

การปรับพฤติกรรม

การดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องคือหัวใจสำคัญของการควบคุมความดันในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มมีค่าความดันสูงระยะต้น หรือยังไม่ต้องใช้ยา การเปลี่ยนวิถีชีวิตสามารถช่วยให้ความดันกลับมาอยู่ในระดับปกติได้โดยไม่ต้องพึ่งยาในบางกรณี

การกินแบบ DASH Diet

DASH Diet (Dietary Approaches to Stop Hypertension) คือแนวทางการกินที่ได้รับการรับรองจากองค์กรสุขภาพทั่วโลกว่าช่วยลดความดันโลหิตได้จริง หลักสำคัญคือ

  • ลดโซเดียมลงเหลือน้อยกว่า 2,300 มก./วัน (หรือประมาณ 1 ช้อนชาเกลือ)
  • เพิ่มการกินผักและผลไม้ (วันละ 4–5 ส่วน)
  • เลือกโปรตีนที่ดี เช่น ปลา ถั่ว ไข่ และเนื้อไม่ติดมัน
  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และไขมันอิ่มตัว

DASH Diet ไม่ใช่แค่ลดความดัน แต่ยังดีต่อหัวใจ น้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่นดีขึ้น หัวใจแข็งแรงขึ้น และควบคุมความดันได้ดี โดยคำแนะนำทั่วไปคือ

  • ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาที/วัน สัปดาห์ละ 5 วัน
  • หากมีปัญหาหัวเข่าหรือข้อ ควรเลือกกิจกรรมที่แรงกระแทกต่ำ เช่น เดินในน้ำ หรือโยคะ
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแบบใช้แรงต้านมากเกินไป เช่น ยกน้ำหนักหนัก ๆ เพราะอาจทำให้ความดันพุ่งในระหว่างออกแรง

สำหรับผู้ที่มีความดันสูงมาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายทุกครั้ง

แม้ความดันโลหิตสูงจะไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ส่งผลต่ออวัยวะสำคัญอย่าง “สมอง หัวใจ และไต” โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันสูงอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว มีโอกาสเกิดอาการเฉียบพลันได้โดยไม่ทันตั้งตัว

เส้นเลือดในสมองแตก

หนึ่งในอันตรายที่พบบ่อยและอันตรายที่สุดคือ “โรคหลอดเลือดสมอง” หรือที่หลายคนเรียกว่า “เส้นเลือดในสมองแตก” ซึ่งมักเกิดเมื่อความดันพุ่งสูงมากในระยะเวลาสั้น หรือสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานจนผนังหลอดเลือดสมองบางลงและแตกออก

อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  • ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง
  • พูดไม่ชัด มองเห็นไม่ชัด
  • เวียนหัว หรือหมดสติอย่างกะทันหัน

หากไม่รีบเข้ารับการรักษาในเวลาอันสั้น อาจส่งผลให้สมองเสียหายถาวร หรือเสียชีวิตได้ในที่สุด

หัวใจล้มเหลว

เมื่อความดันสูงขึ้น หัวใจต้องสูบฉีดแรงมากกว่าปกติตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นจนแข็งตัว สูบฉีดเลือดได้น้อยลง และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด

อาการที่พบในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจากความดันสูง ได้แก่

  • เหนื่อยง่าย หายใจหอบ แม้ไม่ได้ออกแรงมาก
  • นอนราบแล้วหายใจลำบาก
  • เท้าบวม ขาบวม และน้ำท่วมปอดในบางราย

หัวใจล้มเหลวไม่ใช่โรคที่รักษาให้หายขาดได้ง่าย ต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง และมีผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก

ไตวายเรื้อรัง

ไตทำหน้าที่กรองของเสียและควบคุมสมดุลของน้ำกับเกลือในร่างกาย เมื่อความดันสูงเป็นเวลานาน จะทำให้หลอดเลือดเล็ก ๆ ในไตถูกทำลาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการกรองลดลง จนกลายเป็นไตวายเรื้อรัง

อาการของไตวายเรื้อรังในระยะต้นอาจไม่ชัดเจน แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • บวมตามร่างกาย
  • ปัสสาวะผิดปกติ หรือปริมาณลดลง

หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจต้องล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในระยะท้าย ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก

แม้ความดันโลหิตจะขึ้นลงได้ตามสภาพร่างกายและอารมณ์ในแต่ละวัน แต่มีบางกรณีที่หากละเลย หรือคิดว่า “เดี๋ยวก็คงหาย” อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การสังเกตอาการร่วมกับค่าความดันที่วัดได้ เป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจว่า ควรพบแพทย์ทันทีหรือไม่

อาการเฉียบพลันที่ไม่ควรมองข้าม

หากคุณมีอาการต่อไปนี้ แม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกับค่าความดันสูง ควรพิจารณาไปโรงพยาบาลทันที

  • ปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน
  • หน้ามืด ตาพร่ามัว หรือมองเห็นภาพซ้อน
  • แน่นหน้าอก เจ็บแปลบ หรือหายใจไม่อิ่ม
  • พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง
  • ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • อาเจียนพุ่ง หรือหมดสติ

อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลว เส้นเลือดในสมองแตก หรือวิกฤตความดันสูงที่ต้องรับมือโดยแพทย์เท่านั้น

เมื่อไหร่ต้องไปฉุกเฉิน

ควรไปห้องฉุกเฉิน (ER) ทันที หาก

  • วัดค่าความดันได้สูงกว่า 180/120 มม.ปรอท ขึ้นไป และมีอาการร่วมที่กล่าวมา
  • ค่าความดันสูงกว่า 200 โดยไม่มีอาการ แต่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีโรคหัวใจ, เบาหวาน หรือเคยเส้นเลือดในสมองตีบ
  • ความดันพุ่งขึ้นฉับพลันภายในเวลาไม่กี่นาที จากปกติ → สูงเกิน 160–180 โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เคยได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ไปฉุกเฉิน หากความดันเกินเกณฑ์ที่กำหนด

หากไม่แน่ใจ ให้โทรสอบถามโรงพยาบาลหรือสายด่วนแพทย์ เพราะการรอช้าอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว

ค่าเท่าไรต้องรีบปรึกษาแพทย์

โดยทั่วไป หากวัดค่าความดันได้ตามนี้ ควรรีบพบแพทย์

  • ≥ 140/90 มม.ปรอท ติดต่อกันหลายวัน แม้ไม่มีอาการ
  • ≥ 160/100 มม.ปรอท แม้ไม่มีอาการ → เข้าข่ายระยะที่ 2 ต้องเริ่มรักษา
  • ≥ 180/120 มม.ปรอท → อันตรายระดับ “วิกฤต” ต้องรับการดูแลทันที
  • หากวัดได้ > 200 ควรไปโรงพยาบาลทันที ไม่ควรรอวัดซ้ำหรือรอดูอาการเอง

อย่ารอให้มีอาการแล้วค่อยไป เพราะความดันสูงเรื้อรังทำร้ายร่างกายแบบเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว

แม้ความดันโลหิตสูงจะเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อย แต่ข่าวดีคือ เราสามารถลดความเสี่ยงและควบคุมให้ความดันอยู่ในระดับปลอดภัยได้ หากเริ่มจากการปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ย่อมดีกว่าการรักษาเมื่อสายไปแล้ว

ไลฟ์สไตล์สุขภาพดี

พื้นฐานของการมีความดันโลหิตที่ดีในระยะยาว คือการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ซึ่งประกอบด้วย

  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยลดอาหารเค็ม หวาน มัน และแปรรูป
  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • เลิกสูบบุหรี่ และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • นอนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงต่อคืน
  • จัดการความเครียด ด้วยกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น สมาธิ เดินเล่น หรืออ่านหนังสือ

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่หากทำต่อเนื่อง จะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อหลอดเลือดและระบบหัวใจ

การตรวจสุขภาพประจำปี

หลายคนมักละเลยการตรวจสุขภาพ โดยคิดว่า “ยังไม่ป่วย ไม่เป็นไร” แต่ความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการ และการวัดค่าความดันเป็นประจำคือทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนอยู่หรือไม่

แนะนำให้

  • วัดความดันทุก 6 เดือน หรือบ่อยขึ้นหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน และการทำงานของไต
  • พบแพทย์เพื่อติดตามค่าความดันหากเคยมีประวัติสูง หรือมีสมาชิกในครอบครัวเป็น

การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณ “รู้ก่อน ปรับก่อน” ซึ่งลดโอกาสเกิดโรคร้ายแรงได้ในระยะยาว

เป้าหมายค่าความดันในแต่ละช่วงอายุ

ค่าความดันที่เหมาะสมจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยตามช่วงวัย แต่หลักการสำคัญคือ ควรให้อยู่ในระดับที่ “ไม่เกิน” เกณฑ์ที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน

  • อายุ 18–39 ปี ค่าความดันควรต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท
  • อายุ 40–59 ปี ไม่ควรเกิน 135/85 มม.ปรอท
  • อายุ 60 ปีขึ้นไป ค่าบนไม่ควรเกิน 140–150 มม.ปรอท และค่าล่างไม่เกิน 90

ทั้งนี้ ต้องดูบริบทสุขภาพของแต่ละบุคคลร่วมด้วย เช่น โรคประจำตัว หรือความเสี่ยงทางกรรมพันธุ์ และควรปรึกษาแพทย์เพื่อเป้าหมายที่เหมาะสมกับตนเอง

สรุป ความดันโลหิตสูง ไม่เลือกคนอ้วนหรือผอม แต่ทุกคนควรระวัง

ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่อาจไม่มีอาการ แต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อหัวใจ สมอง ไต และระบบหลอดเลือดทั่วร่างกาย และที่สำคัญ มันไม่ได้เลือกเหยื่อจากรูปร่างหน้าตา ทั้งคนอ้วน ผอม สูงวัย หรือยังหนุ่มสาว หากมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือพันธุกรรม ก็มีโอกาสเผชิญกับภาวะนี้ได้ไม่ต่างกัน

หากวันนี้คุณยังรู้สึกดี ไม่มีอาการผิดปกติ นั่นคือเวลาที่เหมาะที่สุดในการเริ่มดูแลตัวเอง อย่ารอให้ความดันขึ้นถึง 160 หรือ 200 แล้วค่อยย้อนกลับมาเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะบางครั้ง “โอกาส” อาจมีแค่ครั้งเดียว การใส่ใจสุขภาพหัวใจตั้งแต่ตอนนี้ คือของขวัญที่ดีที่สุดที่คุณจะมอบให้ตัวเองในอนาคต

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า