เช็คด่วน! กลุ่มอาชีพใด เสี่ยง ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มากที่สุด หาคำตอบได้ที่บทความของรัตตินันท์ คลินิก
แท้จริงแล้ว ไม่ว่าคุณจะทำงานอาชีพอะไร ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย กินไม่เป็นเวลา และเครียดง่าย เท่ากับเสี่ยงน้ำตาลในเลือดสูงด้วยกันทั้งสิ้น เช่น พนักงานออฟฟิศ คนทำงานประจำที่นั่งนาน คนขับรถที่นั่งขับรถทั้งวัน แทบไม่ได้เดิน หรือ พ่อค้า แม่ค้า พนักงานขาย รวมไปถึงกลุ่มอาชีพที่ทำงานเป็นกะ ฯลฯ
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง คืออะไร
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดสูงกว่าค่าปกติ โดยมักพบในผู้ป่วยเบาหวาน แต่ก็สามารถเกิดได้ในคนทั่วไปในบางสถานการณ์ หากระดับน้ำตาลสูงบ่อยครั้งและเรื้อรัง อาจนำไปสู่โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
ค่าปกติของน้ำตาลในเลือด
- ขณะอดอาหาร (Fasting) : 70–99 mg/dL
- หลังอาหาร 2 ชั่วโมง : น้อยกว่า 140 mg/dL
- ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมักวินิจฉัยเมื่อ :
- ขณะอดอาหาร > 126 mg/dL
- หลังอาหาร 2 ชั่วโมง > 200 mg/dL
- หรือวัดจากเลือดแบบสุ่ม > 200 mg/dL พร้อมกับมีอาการร่วม
สาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
- การผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ (เช่น ในเบาหวานชนิดที่ 1)
- ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน (เช่น ในเบาหวานชนิดที่ 2)
- กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลสูงมากเกินไป
- ขาดการออกกำลังกาย
- ความเครียด หรือการนอนน้อย
- การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์
- ภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลัน เช่น ติดเชื้อ ร่างกายมีการอักเสบ
อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
- ปากแห้ง คอแห้ง
- ปัสสาวะบ่อย
- กระหายน้ำมาก
- เหนื่อยล้า อ่อนแรง
- ตามัว
- น้ำหนักลด (ถ้าเป็นเรื้อรัง)
- หายใจมีกลิ่นเหมือนผลไม้ (ในกรณีรุนแรง)
วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้าน โดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความสะดวกของแต่ละคน โดยวิธีที่นิยมตรวจ คือ
1. ตรวจเองที่บ้าน (ปลายนิ้ว)
การตรวจเองที่บ้าน ใช้เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด (Glucometer) ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว
วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
- ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
- ใช้เข็มเจาะปลายนิ้ว (มักใช้ด้านข้างนิ้ว เพื่อเจ็บน้อย)
- บีบเอาหยดเลือดออกมาหยดใส่แถบทดสอบ (Test Strip)
- ใส่แถบทดสอบเข้าเครื่องอ่านค่า
- รอผลภายในไม่กี่วินาที
ข้อดี : ตรวจได้บ่อย สะดวก พกพาได้
ข้อเสีย : ต้องเจาะเลือด และมีค่าใช้จ่ายเรื่องแถบตรวจ
2. ตรวจในห้องแล็บ (Lab test)
มักใช้ในโรงพยาบาล เพื่อวินิจฉัยหรือประเมินระยะยาว
ชนิดการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
- FBS (Fasting Blood Sugar) – ตรวจตอนเช้า ขณะอดอาหาร 8–12 ชม.
- OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) – ตรวจน้ำตาลก่อนและหลังดื่มน้ำตาล 75 กรัม
- HbA1c – วัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยย้อนหลัง 2–3 เดือน (ไม่ต้องอดอาหาร)
ข้อดี : แม่นยำ ใช้สำหรับวินิจฉัยโรค
ข้อเสีย : ต้องไปโรงพยาบาล ใช้เวลา และค่าใช้จ่ายมากกว่า
3. การใช้เครื่องตรวจน้ำตาลแบบติดเซ็นเซอร์ (CGM)
เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องติดตามน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ควบคุมน้ำตาลยาก
- เซ็นเซอร์ติดไว้ใต้ผิวหนัง ตรวจทุกไม่กี่นาที
- เชื่อมกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อ่านค่า
- แสดงแนวโน้มกราฟน้ำตาลได้
ข้อดี : ไม่ต้องเจาะบ่อย เห็นแนวโน้มได้ละเอียด
ข้อเสีย : ราคาสูง อาจมีอาการแพ้บริเวณติดเซ็นเซอร์
ตรวจค่าน้ำตาลในเลือด ช่วงไหนดี?
การเลือก ช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการตรวจค่าน้ำตาลในเลือด ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการตรวจ เช่น ตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค ตรวจติดตามอาการ หรือดูผลกระทบของอาหาร/ยา และนี่คือ คำแนะนำตามสถานการณ์
1. ตรวจค่าน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (FBS)
-
- ควรตรวจช่วงเช้า หลังงดอาหารอย่างน้อย 8–12 ชั่วโมง
- ห้ามกินข้าวหรือของว่าง ดื่มได้แค่น้ำเปล่า
- ใช้บ่อยที่สุดในการ วินิจฉัยเบาหวานหรือภาวะเสี่ยง
แนะนำ : ตรวจตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนอาหารเช้า
2. ตรวจหลังอาหาร 2 ชั่วโมง (Postprandial glucose)
-
- ควรตรวจหลังจากเริ่มกินอาหาร 2 ชั่วโมงพอดี
- ช่วยดูว่า ร่างกายควบคุมน้ำตาลหลังอาหารได้ดีไหม
- เหมาะกับผู้ที่มีภาวะน้ำตาลขึ้นสูงหลังอาหาร หรือผู้ป่วยเบาหวาน
แนะนำ : บันทึกเวลาที่เริ่มกินอาหารไว้ แล้วตรวจให้ตรงเป๊ะ 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น
3. ตรวจ HbA1c (ไม่ต้องงดอาหาร)
-
- ตรวจได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร
- ใช้ดูค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือดย้อนหลัง 2–3 เดือน
- เหมาะกับการติดตามผลระยะยาวของผู้ป่วยเบาหวาน
แนะนำ : ตรวจประมาณทุก 3 เดือน หากเป็นเบาหวาน
4. ตรวจด้วยเครื่องที่บ้าน (ปลายนิ้ว)
-
- ตรวจได้หลายช่วง ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการดู เช่น :
- ก่อนอาหาร
- หลังอาหาร 2 ชม.
- ก่อนนอน
- ตื่นกลางดึก (ถ้ามีอาการน้ำตาลต่ำ)
แนะนำ : จดบันทึกเวลา-ค่า และเปรียบเทียบกับพฤติกรรมในวันนั้น เช่น อาหาร ออกกำลังกาย
ค่าน้ำตาลในเลือดเท่าไหร่? เสี่ยงเป็นเบาหวาน
ประเภทการตรวจ | ค่าปกติ | เสี่ยงเบาหวาน | เบาหวาน |
FBS (ตอนอดอาหาร 8 ชม.) | ต่ำกว่า 100 mg/dL | 100–125 mg/dL | ≥ 126 mg/dL |
หลังอาหาร 2 ชม. (OGTT) | ต่ำกว่า 140 mg/dL | 140–199 mg/dL | ≥ 200 mg/dL |
HbA1c (ค่าเฉลี่ย 2-3 เดือน) | ต่ำกว่า 5.7% | 5.7–6.4% | ≥ 6.5% |
ข้อดีของการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยตรวจหาเบาหวานตั้งแต่ระยะแรก
- ช่วยติดตามผลการรักษา
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานขึ้นตา ไตเสื่อม เส้นเลือดตีบ ชาปลายมือปลายเท้า การควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยจะลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
- รู้ทันระดับน้ำตาลต่ำ ในผู้ที่ใช้ยาหรืออินซูลิน ถ้าค่าน้ำตาลต่ำเกินไป อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- วางแผนการกินอาหารและออกกำลังกายได้ดีขึ้น
- ส่งเสริมสุขภาพจิตใจ
ข้อปฏิบัติก่อนตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
1. ตรวจตอนอดอาหาร (FBS – Fasting Blood Sugar)
สิ่งที่ควรทำ คือ งดอาหารอย่างน้อย 8–12 ชั่วโมง ก่อนตรวจ (ดื่มน้ำเปล่าได้) และตรวจตอนเช้าจะดีที่สุด เพราะระดับฮอร์โมนจะสม่ำเสมอ
สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ ดื่มกาแฟ ชา น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ก่อนตรวจ เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือดูดลูกอม (แม้จะเป็น “น้ำตาล 0%” บางชนิดก็อาจมีผล)
2. ถ้าตรวจหลังอาหาร 2 ชั่วโมง (Postprandial glucose)
สิ่งที่ควรทำ คือ จับเวลา 2 ชั่วโมงนับจากเริ่มกินอาหารคำแรก และกินอาหารตามปกติ ไม่ควรเปลี่ยนเมนู
สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ งดอาหารก่อนตรวจ เพราะจะทำให้ค่าที่ได้ไม่ใช่หลังอาหาร และตรวจก่อนครบ 2 ชั่วโมง หรือหลังเกินไปมากจะทำให้ค่าเพี้ยน
3. ถ้าตรวจ HbA1c (เฉลี่ยน้ำตาล 2–3 เดือน)
สิ่งที่ควรทำ คือ ไม่ต้องงดอาหาร สามารถตรวจได้ตลอดทั้งวัน
4. สำหรับการตรวจปลายนิ้วเองที่บ้าน
สิ่งที่ควรทำ คือ ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้งก่อนเจาะ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำตาลและสิ่งสกปรกบนผิว ใช้เลือดหยดแรกหรือตามคำแนะนำของเครื่อง
Tip : ถ้านิ้วเย็น เลือดไหลยาก แนะนำให้ล้างมือด้วยน้ำอุ่นหรือขยับมือก่อนเจาะ
5. หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ก่อนตรวจ
ความเครียด หรือ การนอนดึกก่อนวันตรวจ การออกกำลังกายหนักก่อนตรวจตอนเช้า ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ในคืนก่อนหน้า
สัญญาณเริ่มต้นของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
สัญญาณเริ่มต้นของ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง อาจมาแบบเงียบ ๆ ซึ่งหลายคนไม่รู้ตัว จนกระทั่งเริ่มมีอาการบางอย่างแสดงออกมา ถ้าหากสังเกตได้ไว ก็จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
- กระหายน้ำมากกว่าปกติ
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- หิวบ่อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น
- ตามัว เหมือนมีหมอกบังตา
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว (โดยไม่ได้ตั้งใจ)
- แผลหายช้า
- คันตามผิวหนัง หรือช่องคลอด
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
น้ำตาลในเลือดสูง อันตรายอย่างไร?
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หากปล่อยไว้นานหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายหลายอย่าง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
อันตรายระยะสั้น ของน้ำตาลในเลือดสูง
-
ระดับน้ำตาลสูงเกินไปในเลือด
ระดับน้ำตาลสูงเกินไปในเลือด ทำให้เลือดข้น ไหลเวียนไม่ดี เซลล์ในร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้ จะทำให้ขาดพลังงาน
-
ภาวะคีโตนในเลือดสูง (DKA – Diabetic Ketoacidosis)
ภาวะคีโตนในเลือดสูง พบมากในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาล จะทำให้เกิดการสะสมกรดคีโตนในเลือด มักมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบ กลิ่นปากเหมือนผลไม้ หากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจช็อกหรือเสียชีวิตได้
-
ภาวะน้ำตาลสูงรุนแรง (HHS – Hyperosmolar Hyperglycemic State)
ภาวะน้ำตาลสูงรุนแรง มักเกิดในผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 โดยน้ำตาลในเลือดอาจสูง > 600 mg/dL จะทำให้ขาดน้ำอย่างรุนแรง หมดสติ หรือโคม่าได้
อันตรายในระยะยาว (ถ้าน้ำตาลสูงต่อเนื่อง)
- ตาเสื่อม (เบาหวานขึ้นจอประสาทตา)
- เส้นเลือดและปลายประสาทเสีย
- เพิ่มความเสี่ยงหลอดเลือดสมองและหัวใจ
- ไตเสื่อม จนถึงไตวาย
วิธีการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
การรักษา ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีจุดมุ่งหมายหลักคือ ลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในระยะยาว โดยการรักษาแบ่งได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ คือการดูแลตนเอง และการใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ มาดูรายละเอียดกัน
1. การรักษาด้วยยา
สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน
- ยารับประทานลดน้ำตาลในเลือด เช่น Metformin, Sulfonylurea, DPP-4 inhibitors, SGLT2 inhibitors ฯลฯ
- อินซูลิน (สำหรับผู้ป่วยที่ควบคุมน้ำตาลด้วยยาเม็ดไม่ได้ หรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 1)
หมายเหตุ :
- การปรับยา ต้องทำโดยแพทย์ เท่านั้น
- ห้ามปรับเอง เพราะเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำเกินไป
2. การควบคุมอาหาร
- ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง น้ำหวาน ของหวาน
- กิน ผัก-โปรตีน ให้มากขึ้น
- หลีกเลี่ยงอาหารทอด ของมัน และแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ เป็นเวลา และ แบ่งมื้อย่อย ๆ
Tip : ใช้วิธี “เลือกคาร์บดี” เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท แทนคาร์บขัดขาว
3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาลได้ดีขึ้น
- แนะนำอย่างน้อย วันละ 30 นาที 3–5 วัน/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
ข้อควรระวัง : หากน้ำตาลในเลือดสูงมาก (>250 mg/dL) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะคีโตนสูง
4. จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- การนอนหลับไม่พอ ก็ส่งผลต่อน้ำตาลเช่นกัน
5. ตรวจระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยเบาหวานควรมีเครื่องตรวจน้ำตาลที่บ้าน
- ตรวจอย่างน้อยวันละ 1–2 ครั้ง หรือมากกว่านั้นตามคำแนะนำของแพทย์
- บันทึกค่าเพื่อติดตามแนวโน้ม และปรับแผนการรักษาได้ตรงจุด
6. เมื่อไหร่ควรไปโรงพยาบาลทันที
- มีอาการอ่อนเพลียมาก คลื่นไส้ อาเจียน หายใจหอบ
- น้ำตาลในเลือดสูง > 300 mg/dL ต่อเนื่องหลายวัน
- มีอาการ เบลอ หน้ามืด เหงื่อออกเยอะ อาจเป็นภาวะฉุกเฉิน
สรุป ภาวะค่าน้ําตาลในเลือด สูง เป็นอย่างไร?
สภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าค่าปกติ มักพบในผู้ที่เป็นโรค เบาหวาน หรือผู้ที่มีความเสี่ยง อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย คือ กระหายน้ำ, ปัสสาวะบ่อย, หิวบ่อย, เหนื่อยง่าย, น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ, ตามัวหรือแผลหายช้า ฯลฯ
อันตรายระยะสั้น อาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (DKA), หมดสติ, โคม่า ฯลฯ อันตรายระยะยาว คือ ตาบอด ไตวาย หัวใจวาย เส้นเลือดอุดตัน ชา-แผลเรื้อรังที่ปลายมือปลายเท้า ฯลฯ
แนวทางการรักษาและป้องกัน คือ ควบคุมอาหาร (ลดน้ำตาล แป้ง ของทอด) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานยาหรืออินซูลินตามแพทย์สั่ง ตรวจน้ำตาลสม่ำเสมอ ติดตามผลกับแพทย์ พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียด
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง