โรคเบาหวาน เป็นที่รู้กันว่าผู้ป่วยเบาหวาน ส่วนใหญ่จะต้องพบกับปัญหาแผลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลที่เท้า เมื่อเริ่มเป็นแผลมักไม่รู้สึก ทำให้แผลยิ่งลุกลาม เกิดเป็นแผลใหญ่ขึ้น และเนื่องจากเส้นเลือดที่เสื่อมสภาพก็ส่งผลทำให้การรักษาและฟื้นฟูเป็นไปได้ช้า เสี่ยงต่อการลุกลามเป็นแผลใหญ่จนต้องตัดอวัยวะ
โรคเบาหวาน แผลเบาหวาน ทำไมถึงหายช้า มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
- ปลายประสาทเสื่อม
- ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม (sensory neuropathy) ผู้ป่วยเบาหวานจะสูญเสียการรับความรู้สึกเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็น ดังนั้นเมื่อเป็นแผลขึ้นแล้วแต่ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวด จึงมักไม่ได้หยุดพักการใช้งาน แผลจึงเกิดการอักเสบลุกลามมากขึ้น
- ประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม (motor neuropathy) ทําให้กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่เท้าฝ่อลีบ เมื่อกล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ก็จะทําให้เกิดภาวะเท้าผิดรูป จุดรับน้ำหนักเปลี่ยนแปลงไปมีจุดรับน้ำหนักมากผิดปกติในบางจุดเวลาที่ยืนหรือเดิน ก็ทำให้มีโอกาสเป็นตาปลา หรือเกิดแผลได้ง่าย
- ประสาทอัตโนมัติเสื่อม (autonomic neuropathy) ระบบประสาทควบคุมเกี่ยวกับการหลั่งเหงื่อผิดปกติไป ทำให้เหงื่อออกลดลง ผิวหนังแห้งแตกเป็นร่องเป็นแผลได้ง่าย ทำให้เชื้อโรคอาจเข้าไปตามรอยแตกแล้วเกิดเป็นแผลลุกลามมากขึ้น และยังทําให้เท้าบวม รองเท้าจึงคับขึ้นและกดเท้าจนเป็นแผลตามมาได้ รวมถึงการหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสียไป มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงที่กระดูกและผิวหนังลดลง ทำให้แผลหายช้า
2. ความผิดปกติของหลอดเลือด
เนื่องจากเกิดภาวะเส้นเลือดตีบแข็งจนบางครั้งก็อุดตัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดเลือดฝอย โดยเฉพาะหลอดเลือดส่วนปลาย ทําให้เกิดแผลที่เท้าขึ้นเองได้เนื่องจากเนื้อเยื่อขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งจะพบมากที่ปลายนิ้วเท้าหรือส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายซึ่งเกิดแผลจากสาเหตุอื่น เช่น อุบัติเหตุของมีคม เล็บขบ ยุงกัดและการเกา เป็นต้น การรักษาแผลให้หายเป็นไปได้ยากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากหลอดเลือดตีบไม่มีเลือดไปเลี้ยงเพียงพอ ทําให้ไม่มีการสมานแผล การตีบตันของหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานไม่ได้เกิดเพียงเฉพาะที่เท้าเท่านั้น ยังเกิดกับหลอดเลือดอื่นๆ ด้วย เช่น หลอดเลือดหัวใจและสมอง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมที่ทําให้มีการตีบตันเร็วและมากขึ้นอีก คือการสูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง เป็นต้น
3. แรงกดทับและกลไกการบาดเจ็บของเท้า
มีงานวิจัยพบว่า ตามปกติเนื้อเยื่อที่ขาดเส้นประสาทมาเลี้ยง จะไม่เกิดแผลเองยกเว้นถูกกดทับนานๆ และไม่มีการปรับเปลี่ยนจุดกดทับ แต่เมื่อเป็นแผลแล้วสามารถซ่อมแซมให้หายได้ คล้ายกับเนื้อเยื่อปกติ ยกเว้นว่ามีการติดเชื้อหรือขาดเลือดมาเลี้ยงร่วมด้วย
4. การติดเชื้อแทรกซ้อน
ภาวะเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี จะมีความผิดปกติของการทำงานของเม็ดเลือดขาว โดยมีจำนวนลดลง และมีความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียลดลง ทำให้เกิดแผลติดเชื้อได้ง่าย จึงมักพบว่าแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานจะมีการติดเชื้อร่วมด้วยอยู่เสมอ โดยเฉพาะการมีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทําให้การอักเสบลุกลามมากขึ้น ยิ่งหากมีภาวะแทรกซ้อนทางประสาทและหลอดเลือดด้วยแล้ว โอกาสที่จะรักษาให้หายยิ่งยากมากขึ้น
การรักษาแผลที่เท้า จาก โรคเบาหวาน
- การรักษาเบื้องต้น เมื่อเป็นแผลจากของมีคมหรือแผลขีดข่วน ควรล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นและสบู่ เช็ดให้แห้งและใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีนอย่างเจือจาง ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลที่แห้งและผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว ไม่ควรใช้พลาสเตอร์ปิดแผลโดยตรง ถ้าหากแผลบวมแดงขึ้นมีน้ำเหลืองออกมา แม้ว่าจะไม่มีความเจ็บปวดก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
- หากแผลมีหนอง ลักษณะเป็นแผลติดเชื้อ ควรทำแผลที่โรงพยาบาล
- การใช้ยาปฏิชีวนะ แพทย์จะพิจารณาว่าผู้ป่วยควรได้รับยาปฏิชีวนะหรือไม่ และพิจารณาตามลักษณะและความรุนแรงของแผล
- การหยุดพักบริเวณที่เป็นแผล โดยหากเป็นจุดที่ลงน้ำหนักควรนอนพักเฉยๆ พยายามเดินเท่าที่จำเป็น หรือสวมรองเท้าที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักในบริเวณที่เป็นแผล
- การผ่าตัดหลอดเลือด ในกรณีที่แผลนั้นได้รับการตรวจสืบค้นเพิ่มเติมและวินิจฉัยแล้วว่ามีสาเหตุมาจากการขาดเลือดเนื่องจากมีเส้นเลือดตีบแข็ง หากผ่าตัดรักษาเพื่อให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงบริเวณแผลได้ดีขึ้นก็จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินพยาธิสภาพของโรคและความพร้อมของผู้ป่วยว่าเหมาะสมที่จะเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่
- รักษาด้วยออกซิเจนความดันบรรยากาศสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) ซึ่งปัจจุบันเข้ามามีบทบาทและเป็นที่ยอมรับในการร่วมรักษาแผลเบาหวานเรื้อรังอีกด้วย
- การผ่าตัดเท้าทิ้ง จะทำต่อเมื่อไม่สามารถรักษาแผลด้วยวิธีที่กล่าวมาแล้วให้ได้ผล ระดับที่ผ่าตัดจะอยู่ใต้เข่าหรือเหนือเข่าขึ้นอยู่กับแผล หลังการผ่าตัดแล้วสามารถประกอบขาเทียมได้ ทำให้ผู้ป่วยเดินและเคลื่อนไหวได้ดังเดิม
นอกจากนี้ก็ยังมีการรักษาอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นและได้มีการนำมาใช้รักษาแผลมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2528 นั่นก็คือการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้น หรือ PRP นั่นเอง
Platelet-rich plasma (PRP) รักษา โรคเบาหวาน
PRP คือสารสกัดพลาสม่าจากเลือดของเราเอง ที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูงกว่าระดับปกติ ซึ่งภายใน PRP จะประกอบไปด้วย Growth factor ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการฟื้นฟูของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยหลังจากการเก็บเลือดจากผู้ป่วย ก็จะนำเลือดมาเข้าเครื่องหมุนเหวี่ยงพิเศษเพื่อแยกชั้นเลือด ทำให้ได้เป็นชั้นพลาสมา ในนั้นจะมีเกล็ดเลือดเข้มข้น หรือ PRP ออกมา และจะถูกฉีดเข้าไปในบริเวณที่เป็นแผล หรือบริเวณที่ต้องการจะกระตุ้นให้ฟื้นฟู
PRP ผลิตจากเลือดของผู้ป่วยเอง ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ในการช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการรักษาและฟื้นฟูการเติบโตของเซลล์ กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมตัวเอง รักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้นจากการที่ Growth factor ไปกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ และเส้นเลือดเล็กๆ ทำให้มีเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงแผลมากขึ้น แผลจึงหายไวขึ้น
การฉีด PRP สามารถทำได้ทั้งในแผลที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ โดยจะใช้วิธีนี้เข้าไปร่วมกับการทำแผลตามปกติ มีงานวิจัยที่ใช้ PRP มารักษาแผลเรื้อรัง โดยฉีด PRP ไปรอบๆ แผล ทุกสัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าการฉีด PRP ช่วยให้แผลมีขนาดเล็กลง และมีผลต่อการหายของบาดแผลจริง
อ่านเพิ่มเติม
-
10 โรคยอดฮิตจากภาวะ อ้วนลงพุง
-
Overstitch ลดขนาดกระเพาะรักษาโรคอ้วน เทคนิคใหม่! ไม่ต้องผ่าตัด
-
ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก คืออะไร? รักษาโรคอ้วนได้จริงหรือไม่?
Ref.
- ผศ.พญ.สุภาพร โอภาสานนท์, แผลเบาหวาน (Diabetic Foot) และการดูแลเท้า, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/915_pdf
- http://clmjournal.org/_fileupload/journal/202-5-6.pdf
- การดูแลบาดแผลขั้นสูง (Advanced wound care), VAJIRA NURSING JOURNAL 104 Volume 22 No.1 January – June 2020
- https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/10172/9157
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง