โรคเอดส์ (AIDS) และ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เชื่อว่าหลายคนยังเข้าใจผิดว่าคือโรคเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคเอดส์ (AIDS) และ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) นั้นเป็นความเหมือนแตกต่าง นั่นหมายถึง การที่คนจะเป็นโรคเอดส์ จะต้องมีการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาก่อน และปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน
ซึ่งหากไม่รักษา อาการและระยะของโรคก็จะรุนแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้อีกต่อไป และลุกลามจนกลายเป็นโรคเอดส์นั่นเอง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี รักษาอย่างไร และ ป้องกันอย่างไร วันนี้จะพาไปหาคำตอบกับ 11 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ โรคเอดส์ และ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) กัน
สารบัญ
1. โรคติดเชื้อเอชไอวี HIV คืออะไร
2. โรคเอดส์ เชื้อไวรัสเอชไอวี คืออะไร
3. การติดเชื้อเอชไอวี HIV – โรคเอดส์ แบ่งออกเป็นกี่ระยะ
4. เชื้อไวรัสเอชไอวี HIV ติดต่อได้อย่างไร
5. ป้องกันติดเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV และ โรคเอดส์ ได้อย่างไร
6. ใครบ้างที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
7. เมื่อติดเชื้อเอชไอวี (HIV) แล้ว จะรักษาอย่างไร
8. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย จากยาต้านเอชไอวีโรคเอดส์
9. การป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP)
11. การป้องกันการติดเชื้อหลังการสัมผัส (Post-Exposure Prophylaxis: PEP)
1. โรคติดเชื้อเอชไอวี HIV คืออะไร
โรคติดเชื้อเอชไอวี คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ (AIDS, Acquired Immune Deficiency Syndrome)
2. โรคเอดส์ เชื้อไวรัสเอชไอวี คืออะไร
เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ย่อมาจากคำว่า Human Immunodeficiency Virus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มรีโทรไวรัส (Retrovirus) เป็นเชื้อที่ทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้อีกต่อไป และนำไปสู่โรคร้ายอย่าง โรคเอดส์
3. การติดเชื้อเอชไอวี HIV – โรคเอดส์ แบ่งออกเป็นกี่ระยะ
การติดเชื้อเอชไอวี แบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน
คือ ระยะที่รับเชื้อมาใหม่ๆ อาการผิดปกติของผู้ป่วยในระยะแรกนี้จะมีน้อย ผู้ติดเชื้อส่วนหนึ่งจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ได้แก่ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มี ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเล็กน้อย ถ่ายอุจจาระเหลว ต่อมน้ำเหลืองโต และสามารถหายไปเองได้ในเวลา 2 ถึง 4 สัปดาห์ แต่ผู้ติดเชื้ออีกส่วนหนึ่งจะไม่มีอาการ ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีมาแล้ว
ซึ่งระยะแรกนี้จะยังไม่เรียกว่า โรคเอดส์ ระยะนี้เป็นระยะที่เชื้อไวรัสเข้าไปในเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ทีเซลล์ (T cell) และทำให้ทีเซลล์ (T cell) เหล่านี้ตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อทีเซลล์ (T cell) ในเลือดลดจำนวนลง เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างแอนติบอดี (Antibody) ให้สร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสขึ้นมาภายในเวลา 3 ถึง 7 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อ ซึ่งแอนติบอดีนี้สามารถตรวจพบได้จากเลือด และเป็นสิ่งที่ใช้ในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV)
2. ระยะไม่ปรากฏอาการ
คือ เป็นระยะที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้ง่ายโดยการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
3. ระยะมีอาการ
คือ ในระยะนี้จะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เริ่มมีฝ้าขาวในปากเนื่องจากมีการติดเชื้อราที่ลิ้น มีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา มีไข้เรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ ท้องเสียเรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ น้ำหนักลดมากกว่าร้อยละ 10 เป็นต้น ทำให้เป็นระยะที่ผู้ติดเชื้ออาจสงสัยว่าตนเองมีความผิดปกติ และอาจจะมาพบแพทย์
ระยะนี้เชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในต่อมน้ำเหลือง และในม้าม ค่อยๆ แบ่งตัวเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ ทำให้ปริมาณของเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า CD4+ ในเลือด จะค่อยๆ ลดจำนวนลงอย่างช้าๆ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ระยะนี้ส่วนใหญ่จะกินเวลานาน 7-10 ปี
โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน นอกจากนี้การได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตอยู่ในระยะนี้ได้ยาวนานยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนสมัยที่ยังไม่มีการค้นพบยาต้านเชื้อไวรัส
4. ระยะที่เป็นโรคเอดส์
คือ ระยะนี้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก สามารถทราบได้จากการตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวชนิด CD4+ ลดลง ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตร อาการของโรคเอดส์ อาจจะมาพบแพทย์ด้วยวัณโรค เชื้อราในปอด เชื้อราขึ้นสมอง หรือที่รวมเรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส และมีมะเร็งชนิดต่างๆ เกิดขึ้นได้
ที่พบบ่อย คือ โรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi sarcoma) และ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะนี้เป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายถูกทำลายเกือบทั้งหมด โดยเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ในเลือดจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะมีไข้เรื้อรังนานเป็นเดือนๆ อ่อนเพลียมาก น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
4. เชื้อไวรัสเอชไอวี HIV ติดต่อได้อย่างไร
เชื้อเอชไอวีสามารถพบได้ในเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด น้ำนมของผู้ที่ติดเชื้อ ดังนั้นเมื่อสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่มีเชื้อเอชไอวีผ่านทางเยื่อบุ หรือผิวหนังที่มีบาดแผล ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ โดยหลักๆ มี 3 ทางดังนี้
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี (HIV) โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น
- การรับเชื้อจากมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ซึ่งมีโอกาสรับเชื้อได้ 3 ช่วง คือ ขณะตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และ กินนมแม่
5. ป้องกันติดเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV และ โรคเอดส์ ได้อย่างไร
- ให้ความรู้และสร้างทัศนคติให้มีความตระหนักถึงความสำคัญในการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่สามี หรือภรรยาของตัวเอง ต้องใช้ถุงยางอนามัยเสมอ โดยไม่มีข้อยกเว้น
- ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน และคิดว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) สามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณากินยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ (หลักการคล้ายกับการใช้ฮอร์โมนยาคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์) แบ่งเป็น กินยาต้านไวรัสหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยกินยาต้านไวรัสโดยเร็วที่สุดภายในเวลาไม่เกิน 3 วันหลังมีความเสี่ยง โดยกินยาต้านไวรัสเป็นเวลา 4 สัปดาห์ หรือ กินยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัส โดยรับประทานวันละ 1 เม็ดทุกวันในช่วงที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- อย่าใช้การฉีดยาเสพติดชนิดเข้าเส้น อย่าใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วม กับคนอื่น
- หลีกเลี่ยงการสักตามผิวหนัง การเจาะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพราะสถานบริการบางแห่งอาจรักษาความสะอาดของเครื่องมือไม่ดีพอ
- บุคคลากรทางการแพทย์ ถ้าเกิดอุบัติเหตุเข็มตำต้องรีบแจ้งหน่วยที่ดูแลทางการติดเชื้อ เพื่อรับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที วิธีนี้สามารถป้องกันการติดเชื้อได้มาก
- ควรตรวจเลือดคัดกรองเอชไอวี ในคู่สามี-ภรรยา ที่กำลังจะแต่งงานหรือที่วางแผนจะมีลูก หรือ เมื่อเริ่มไปฝากครรภ์ หากตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์ ให้รีบรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
6. ใครบ้างที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
- ผู้ที่มีอาการที่เข้าได้กับการติดเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์
- ผู้ที่มีหรือเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ทั้งนี้รวมถึงเพศสัมพันธ์ระหว่าง ชาย-ชาย หญิง-หญิง หรือชาย-หญิง
- ผู้ป่วยวัณโรค
- ผู้ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดและใช้เข็มร่วมกัน
- หญิงตั้งครรภ์และสามี
- ทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี
- บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ถูกกล่าวหาและผู้ถูกละเมิดทางเพศ
- ผู้ที่ต้องการตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือผู้ที่วางแผนมีบุตร
7. เมื่อติดเชื้อเอชไอวี (HIV) แล้ว จะรักษาอย่างไร
เกณฑ์การเริ่ม ยาต้านเอชไอวี ในประเทศไทย คือ ให้ยาต้านเอชไอวีในผู้ติดเชื้อทุกรายในทุกจำนวน CD4 และควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ร่วมด้วย
- ผู้ติดเชื้อที่จะเริ่มยาต้านเอชไอวีต้องเข้าใจถึงประโยชน์และผลข้างเคียงของการรักษา เข้าใจประเด็นความสำคัญของการติดตาม ยินดีที่จะเริ่มยาต้านเอชไอวี และมีความมุ่งมั่นตั้งใจรับยาต้านเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิต
โดยยาต้านเอชไอวีที่แนะนำให้ใช้เป็นสูตรแรกในประเทศไทยคือ NRTIs + NNRTIs ได้แก่ TDF/FTC (Tenofovir/ Emtricitabine) หรือ TDF (Tenofovir)+ 3TC (lamivudine) ร่วมกับ EFV (Efavirenz) หรือ RPV (Rilpivirine) เนื่องจากเป็นสูตรที่ได้ผลในการควบคุมไวรัสได้ดีมีผลข้างเคียงน้อยและใช้วันละครั้ง
NRTIs | + | NNRTIs |
TDF/FTC (Tenofovir/ Emtricitabine) | + | EFV (Efavirenz) หรือ RPV (Rilpivirine) |
TDF (Tenofovir)+ 3TC (lamivudine) | + | EFV (Efavirenz) หรือ RPV (Rilpivirine) |
8. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย จากยาต้านเอชไอวีโรคเอดส์
ภาวะแทรกซ้อนทางคลินิกจากการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีเกิดได้ทั้งในระยะ เริ่มแรกของการรักษาและหลังการรักษาเป็นระยะเวลานาน และเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องเปลี่ยนสูตรยาหรือหยุดการรักษา
นอนไม่หลับ/ฝันร้าย | EFV, RAL, Atazanavir |
ภาวะดื้ออินชูลินเบาหวาน | d4T, AZT และ PIs บางชนิด พบ 3-5% |
ภาวะไขมันกระจายตัวผิดปกติ (Lipodystrophy) | Pls, EFV |
ภาวะไขมันกระจายตัวผิดปกติ (Lipodystrophy) | d4T, AZT, ddl |
ผื่น (Skin rash) | NVP 14.8%, EPV 26%, ABC < 5% |
ไขมันในเลือดสูง | Pls, d4T, EFV |
ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) | ddl Wu 1-7% |
ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy) | ddl Wบ 12-34%, d4T WU 52% |
เกิดพิษต่อไต (Nephrotoxicity) | เกิดจาก TDF และ ATV |
ตับอักเสบ (Hepatotoxicity, clinical hepatitis) | ยาต้านเอชไอวีในกลุ่ม NNRTIs, Pls, NRTIร ทุกชนิด |
กดไขกระดูก (Bone marrow suppression) | AZT พบภาวะโลหิตจาง 1.1- 4.0% และ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ 1.8-8.0% |
Efavirenz (EFV), Raltegravir (RAL), Zidovudine (AZT), Protease inhibitors (PIs), Didanosine (ddI), Stavudine (d4T), Nevirapine (NVP), Abacavir (ABC), Tenofovir (TDF), Atazanavir (ATV), Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NNRTIs), Nucleoside/Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)
ภาวะไขมันกระจายตัวผิดปกติ หรือ Lipodystroph
เกิดได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
- Lipohypertrophy คือ การที่มีไขมันสะสมมากผิดปกติ เกิดเป็นก้อนไขมันใต้ผิวหนัง หน้าท้องหรือเต้านมใหญ่ขึ้น หรือมี ก้อนไขมันที่คอด้านหลัง (dorsocervical fat pad หรือ buffalo hump) ซึ่งเกิดจากสูตรยา Protease inhibitors (PIs) หรือ NNRTI-based regimens ที่มี Stavudine (d4T) หรือ Zidovudine (AZT) ร่วมด้วย สามารถพิจารณาการรักษา lipohypertrophy ที่เต้านมหรือคอด้านหลังด้วยการผ่าตัดแบบ restorative หรือใช้วิธี ดูดไขมัน (liposuction) บริเวณนั้นออก
- Lipoatrophy คือ การที่มีเนื้อเยื่อไขมันฝ่อ มีอาการแก้มตอบ แขนขาลีบ เส้นเลือดดำที่แขนขาเห็นชัดขึ้น ก้นและสะโพกแฟบลง เกิดจากยากลุ่ม NRTIs โดย Stavudine (d4T) พบมากที่สุด รองมาคือ Zidovudine (AZT) พิจารณารักษา lipoatrophy ที่หน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือสารสังเคราะห์ Poly-L-lactic acid หรือ Sculptra เข้าไปในบริเวณที่ไขมันหายไป
โดยปัจจัยเสี่ยงของภาวะ Lipodystrophy คือ มี baseline BMI ต่ำ การป้องกัน คือ หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสูตรยาที่เป็นสาเหตุ และเปลี่ยนเป็นยาที่มีผลนี้น้อย ควรรีบเปลี่ยนเมื่อเริ่มมีอาการ การเปลี่ยนยาช้าอาจไม่ทำให้อาการดีขึ้น และมักจะไม่กลับเป็นปกติ
บทความที่เกี่ยวข้อง
9. การป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP)
การใช้ยาต้านเอชไอวีสำหรับผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อการป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) มีหลักฐานว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่มประชากรต่างๆ โดยการกินยา TDF/FTC (Tenofovir/Emtricitabine) ทุกวันสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้
- ในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย คิดเป็นร้อยละ 44
- ในชายและหญิงรักต่างเพศ ร้อยละ 63
- และ ร้อยละ 75 ในชายและหญิงที่มีคู่ผลเลือดบวก (Partners PrEP)
ทั้งนี้ความสม่ำเสมอในการกินยาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับประสิทธิผลของ PrEP ยา PrEP ที่แนะนำ คือ TDF/FTC 300/200 มิลลิกรัม กินวันละ 1 เม็ด โดยให้สั่งจ่ายในปริมาณที่เพียงพอสำหรับใช้ไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งระดับยา PrEP ในเม็ดเลือดขาวที่อยู่ในเลือดและในเนื้อเยื่อต่างๆ จะขึ้นสูงถึงระดับที่สามารถป้องกันเอชไอวีได้ หลังกินยาทุกวันนาน 7 วัน
กลับสู่สารบัญข้อควรระวัง* การใช้ PrEP ยังคงต้องใช้ร่วมไปกับการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์และการเปลี่ยนเข็มและกระบอกฉีดยาใหม่ทุกครั้ง
10. ใครควรทานยาเพร็พ (PrEP)
PrEP เหมาะกับชายและหญิงที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่
- ผู้มีคู่ผลเลือดบวกและคู่กำลังรอเริ่มยาต้านเอชไอวีอยู่ หรือคู่ได้ยาต้านเอชไอวีแล้วแต่ยังคงตรวจพบเชื้อไวรัสในเลือดอยู่
- ผู้ที่มีคู่ผลเลือดบวก ที่ไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ผู้ที่มาขอรับบริการ Post-Exposure Prophylaxis (PEP) อยู่เป็นประจำโดยไม่สามารถลดพฤติกรรมเสี่ยงลงได้
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
- ชายหรือหญิงที่ทำงานบริการทางเพศ
- ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดที่กำลังฉีดอยู่หรือฉีดครั้งสุดท้ายภายใน 3 เดือน
- ผู้ต้องขังที่เป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
- ผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
11. การป้องกันการติดเชื้อหลังการสัมผัส (Post-Exposure Prophylaxis: PEP)
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสหรือ PEP แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
- การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในบุคลากรทางการแพทย์หลังการสัมผัสจากการทำงาน
- การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสที่ไม่ใช่จากการทำงาน สำหรับการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การถูกเข็มตำนอกสถานพยาบาลและการได้รับบาดเจ็บ
สรุป
การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ในปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ รวมไปถึงการวิจัยที่จะทำให้การรักษาเป็นแบบหายขาด อย่างไรก็ตามผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยช้า ไม่ได้มีการตรวจเลือดคัดกรองโดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ได้รับการรักษาช้า ซึ่งอาจจะทำให้มีผลการรักษาที่ไม่ได้หรือเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนตามมา
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography