หลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร การดูแลเรื่องโภชนาการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของขนาดกระเพาะอาหารส่งผลต่อความสามารถในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร การปรับเปลี่ยนการเลือกอาหารและพฤติกรรมการรับประทานจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น เสริมสร้างสุขภาพ และกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติและเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง
ความสำคัญของโภชนาการหลังการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก
การผ่าตัดกระเพาะอาหารมีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน โดยมุ่งเน้นให้น้ำหนักตัวกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ พร้อมทั้งลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่มักเกิดร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทั้งนี้ การรักษามีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะประเมินและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
กระบวนการหลักของการผ่าตัดมักเกี่ยวข้องกับการลดขนาดกระเพาะอาหาร โดยตัดออกบางส่วนหรือในบางกรณีอาจทำการตัดต่อลำไส้ร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการรักษาที่เลือก หลังการผ่าตัด ขนาดกระเพาะที่เปลี่ยนไปส่งผลให้การรับประทานอาหารต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ผลสำเร็จจากการผ่าตัดกระเพาะ ไม่เพียงขึ้นอยู่กับความชำนาญของทีมแพทย์เท่านั้น แต่ยังขึ้นกับความร่วมมือและการดูแลตนเองของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดด้วย มีหลายกรณีที่ผู้ป่วยต้องกลับมาพบแพทย์ก่อนกำหนด เนื่องจากอาการผิดปกติที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่แผลภายในกระเพาะยังไม่สมานดี การเลือกอาหารอย่างถูกต้องในช่วงเวลานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารหลังการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก เพื่อช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
หลังผ่าตัดกระเพาะ ควรกินอะไรดี?
การเลือกอาหารที่เหมาะสมหลังการผ่าตัดกระเพาะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการฟื้นตัวและการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือแนวทางสำคัญที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
1. เน้นโปรตีนให้เพียงพอ
โปรตีนเป็นสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกาย หลังการผ่าตัดกระเพาะ ผู้ป่วยควรเน้นรับประทานโปรตีนเป็นอันดับแรก เนื่องจากกระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง การบริโภคโปรตีนในปริมาณเพียงพอจึงต้องมาก่อนอาหารประเภทอื่น โดยปริมาณที่แนะนำคือประมาณ 10-15 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ
2. งดของมันและของทอด
อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอดหรืออาหารมัน เป็นอุปสรรคต่อการลดน้ำหนัก อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วและปัญหาสุขภาพอื่นๆ แม้จะผ่านการผ่าตัดมาแล้ว น้ำหนักตัวอาจลดลงช้าหรือไม่ลดลงเลยหากรับประทานอาหารเหล่านี้
3. ลดความเร็วในการทาน
กระเพาะที่เล็กลงทำให้การย่อยอาหารยากขึ้น การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างน้อย 30 ครั้งต่อคำ และรับประทานอย่างช้าๆ ช่วยลดภาระของกระเพาะ หยุดรับประทานทันทีเมื่อรู้สึกแน่นบริเวณลิ้นปี่
4. ดื่มน้ำอย่างเหมาะสม
ร่างกายยังคงต้องการน้ำในปริมาณเท่าเดิม แต่เนื่องจากกระเพาะเล็กลง ผู้ป่วยควรจิบน้ำทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอตลอดวัน โดยควรดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 6 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำปริมาณมากในครั้งเดียว และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนและหลังมื้ออาหารทันที
5. เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร
เมื่อรับประทานโปรตีนจนเพียงพอแล้ว หากยังไม่อิ่มสามารถเพิ่มเติมด้วย ผักและผลไม้ ผักช่วยส่งเสริมการขับถ่าย และผลไม้ที่มีไฟเบอร์ช่วยบำรุงสุขภาพ แต่ควรเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ
6. หลีกเลี่ยงแป้งและน้ำตาลในช่วงแรก
อาหารประเภทแป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ซึ่งในช่วงแรกหลังผ่าตัด น้ำตาลเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรือหมดสติได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตอย่างสิ้นเชิง ควรเลือกแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี เช่น ข้าวกล้อง มันหวาน ขนมปังโฮลวีต หรือควินัว (Quinoa) และรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
7. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ส่งผลให้กระเพาะดูดซึมแอลกอฮอล์เร็วขึ้น ซึ่งอาจเป็นพิษต่อร่างกาย น้ำอัดลมแม้จะไร้น้ำตาลก็ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากแรงดันจากแก๊สในเครื่องดื่มอาจทำให้เกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหารที่ผ่าตัด
สรุป
ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารเหลว และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารอ่อนเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ยังป้องกันผลข้างเคียงและช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์ที่สุด
บทความที่เกี่ยวข้อง
อาหารหลังผ่าตัดกระเพาะ: ควรกินอะไรได้บ้าง?
การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 5 ระยะ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ทั้งนี้ควรคำนึงถึงปริมาณสารอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตที่ควรเลือกชนิดที่ดี เช่น ข้าวกล้อง มันหวาน ขนมปังโฮลวีต และควินัว (Quinoa)
เฟสที่ 1 อาหารเหลว (สัปดาห์ที่ 1)
อาหารที่ควรรับประทาน
- น้ำซุปใสจากเนื้อสัตว์ (กรองกากออก)
- น้ำสมุนไพรใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น น้ำดอกคำฝอย น้ำมะตูม
เหตุผล
ช่วงนี้แผลในกระเพาะยังไม่สมานสนิท การรับประทานอาหารเหลวใสช่วยลดการทำงานหนักของกระเพาะ ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย จึงควรพักผ่อนอย่างเต็มที่
เฟสที่ 2 อาหารเหลวเข้มข้น (สัปดาห์ที่ 2)
อาหารที่ควรรับประทาน
- นมพร่องมันเนยหรือไขมันต่ำ
- โปรตีนเชคแบบไม่มีน้ำตาล
- น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล
เหตุผล
ในระยะนี้แผลเริ่มฟื้นตัว สามารถเพิ่มความเข้มข้นของอาหารเหลวได้ แต่ควรเน้นโปรตีนสูงและไขมันต่ำ
เฟสที่ 3 อาหารอ่อน ย่อยง่าย (สัปดาห์ที่ 3)
อาหารที่ควรรับประทาน
- ไข่ตุ๋น ไข่ลวก หรือไข่คน
- ปลาเนื้อนิ่ม เช่น ปลานึ่ง
- ผักใบเขียวต้ม
เหตุผล
ระบบย่อยอาหารเริ่มปรับตัว สามารถรับประทานอาหารอ่อนที่มีเนื้อสัมผัสมากขึ้น เช่น อาหารที่คล้ายอาหารเด็ก แต่ยังต้องเคี้ยวให้ละเอียด
เฟสที่ 4 อาหารธรรมดา เน้นปรุงสุก (สัปดาห์ที่ 4)
อาหารที่ควรรับประทาน
- สเต็กปลาหรือไก่ย่าง
- ปลาเผา
- สุกี้น้ำ
เหตุผล
ผู้ป่วยสามารถเริ่มรับประทานอาหารที่ใกล้เคียงปกติได้ แต่ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือมันเกินไป
เฟสที่ 5 อาหารปกติ (ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 5 เป็นต้นไป)
อาหารที่ควรรับประทาน
- อาหารโปรตีนสูง เช่น ไก่ ปลา
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง มันหวาน
- ผักใบเขียวและผลไม้
เหตุผล
ผู้ป่วยสามารถกลับมาทานอาหารตามปกติ แต่ต้องคำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการ
ข้อควรหลีกเลี่ยงในทุกระยะ
- อาหารมัน ของทอด และของหวาน
- น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
คำแนะนำเพิ่มเติม
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียดช้าๆ เพื่อลดภาระของกระเพาะ
- เริ่มมื้ออาหารด้วยโปรตีนก่อนเสมอ ตามด้วยผักและผลไม้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอโดยจิบทีละน้อย และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำพร้อมมื้ออาหาร
การปรับตัวในช่วงแรกอาจยากลำบาก แต่ด้วยวินัยและการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ พร้อมกับสุขภาพที่ดีในระยะยาว
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography