ปฎิเสธไม่ได้ที่กว่าผลการค้นหาเรื่อง ลดไขมันในร่างกาย จะลดน้อยลงและในทุก ๆ วินาทีมีคนต่างก็ต้องการคำตอบที่ชัดเจนว่าสรุปแล้วไขมันนั้นดีและมีโทษไปในทิศทางไหนบ้าง ควรงดหรือไม่ควรขาดยังไง วันนี้เราได้ใส่คำตอบมาไว้ในบทความนี้แล้ว
ไขมันดี ไขมันไม่ดี
สำหรับ ไขมันดี นั้นจะคอยทำหน้าที่รักษาความสะอาดให้กับร่างกายอยู่เสมอ จะคอยขจัดไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือดไปที่จุดศูนย์กลางใหญ่ก็คือตับ และขับออกทางน้ำดี ส่วนไขมันไม่ดี ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลย ก็คือจะชอบทิ้งเศษปฎิกูล ขยะ ตามผนังของเส้นเลือด ซึ่งก่อให้เกิดเป็นปัญหาหนักที่ตามมาจนแก้ไขได้ยากโดยเฉพาะโรคร้ายที่ต่างก็จ้องเล่นงานคุณอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ประโยชน์ของ ไขมัน
หลัก ๆ ทุกคนทราบอยู่แล้วเป็นทุนเดิมว่าไขมันจะคอยเสริมความอบอุ่นให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะภายในรวมไปถึงช่วยละลายตัววิตามินทั้งสี่ชนิด ที่มีชื่อว่า เอ ดี อี และ เค เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินเหล่านี้ไปใช้งาน
นอกจากนี้ก็ยังคงให้ความสำคัญกับเซลล์ซึ่งเซลล์ของคนเราหรือผนังของเซลล์นั้นประกอบไปด้วย ไขมัน เหมือนกัน ฉะนั้นหากไม่รับประทานไขมันเลย โอกาสจะซ่อมแซมเนื้อเยื่อก็จะน้อย เซลล์จะมีความเสื่อมสภาพได้เร็ว โดยเฉพาะส่วนที่สำคัญคือสมอง เราพบว่าเซลล์สมองเป็นเซลล์ที่มีส่วนประกอบของไขมันเยอะมาก ฉะนั้นคนที่ห่างไกลจากการรับประทานไขมันก็น่าเป็นห่วงอยู่ว่าในอนาคตเรื่องของระบบสมองอาจมีปัญหาตามมานั่นเอง
กลับสู่สารบัญโทษของ ไขมัน
พูดถึงประโยชน์ไปแล้วแน่นอนว่า โทษของไขมัน ก็มีเช่นกัน โทษมักเกิดจากการสะสมของอาหารที่ย่อยสลายไม่ทัน จนเกิดเป็นการอุดตันของร่างกาย ซึ่งการอุดตันก็ส่งผลเสียทำให้ตับได้รับผลกระทบด้วย เช่น ไขมันไปเกาะที่บริเวณตับหรือไขมันพอกตับ พอตับไม่ได้นำ ไขมัน ไปใช้หรือไขมันไม่สลายในแบบที่ควรจะเป็นไปผลที่ตามมาคือ โรคต่าง ๆ ที่ยากต่อการรักษา
หน้าที่ของ ไขมัน
หน้าที่ของไขมัน นับว่าเป็นการจ่ายพลังงานให้แก่ร่างกายได้มากกว่าสารอาหารตัวอื่น ๆ และไขมันบริสุทธิ์ทุกชนิดให้พลังงานที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นไขมันจากสัตว์หรือจากพืช เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อที่สำคัญโดยเฉพาะสมองและเส้นประสาท ช่วยลดการเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบ ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของลูกน้อยเป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดซึ่งทำร่วมกับคอเลสเตอรอลอิสระได้เป็นคอเลสเตอรอลเอสเทอร์ ทำให้ละลายได้ง่ายในเลือดนั่นเอง
การย่อยของไขมัน
เรื่องการย่อยหรือสลายไขมันของร่างกายนับเป็นสิ่งสำคัญอีกข้อ คือต้องอาศัย ‘เมตาบอลิซึม’ ที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารที่รับประทานไปให้แปลงเป็นพลังงาน และจะทำหน้าที่ในการสร้าง ด้วยการนำอาหารที่เป็นพลังงานไปซ่อมแซมอวัยวะของร่างกาย
นอกจากนี้กระบวนการเมตาบอลิซึม ยังช่วยในการเผาผลาญพลังงาน หรือเอาในส่วนของไขมันให้สลายออกจากร่างกายได้ แต่การที่ร่างกายจะย่อยหรือสลายไขมันได้จะมากหรือจะน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญทั้ง 3 สิ่ง คือ
1.อาหารที่รับประทาน
โดยเฉลี่ยแล้วพลังงานจากอาหารสำหรับผู้ชาย คือ 1,800-2,500 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิง คือ 1,500-2,000 กิโลแคลอรี่ แต่ถ้าได้รับพลังงานที่น้อยกว่านั้นความต้องการของร่างกายก็มีมากที่จะทำให้เกิดการย่อยของไขมันได้ในปริมาณที่มาก เพราะเมื่อร่างกายเผาผลาญพลังงานหลักไปหมด ก็จะไปดึงไขมันที่สะสมออกมาเผาผลาญต่อ แต่เมื่อไรก็ตามที่ได้รับพลังงานเกินกว่าความจำเป็นของร่างกาย ก็จะทำให้พลังงานนั้น ๆ ยิ่งสะสมอยู่ในรูปของไขมันต่อไปอีก
2.กิจกรรมในแต่ละวัน
เมื่อไหร่ที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวบ่อย ๆ ก็จะต้องมีการดึงพลังงานที่สะสมไว้ออกมาใช้ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวต่อเนื่องมากกว่า 30 นาทีขึ้นไป ก็จะยิ่งทำให้เกิดการดึงพลังงานออกมาใช้งานมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง : หากเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันโดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง ที่ยิ่งใช้พลังงานต่อเนื่องหรือนานพอเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไปเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะดึงพลังงานจาก ไขมัน มาใช้มากขั้นเท่านั้น
- เดินห้าง เผาผลาญ 210 กิโลแคลอรี่
- วิ่งเหยาะๆ เผาผลาญ 600 กิโลแคลอรี่
- ปั่นจักรยาน เผาผลาญ 450 กิโลแคลอรี่
3.การเผาผลาญของร่างกาย
มาถึงตรงนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับมวลของกล้ามเนื้อที่มีในร่างกายด้วย โดยเฉพาะผู้ชายจะมีอัตราการเผาผลาญ ถ้าไม่เกิดการเคลื่อนไหวใด ๆ นานกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นหากมีการเพิ่มกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายแบบ Weight training ก็จะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญในส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ถ้ามวลกล้ามเนื้อเกิดย่อยและสลายไปจากการลดน้ำหนักที่ไม่ถูกวิธี จะทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายลดน้อยลงตามเหตุผลเดียวกันนั่นเอง เพิ่มเติมอีกนิดสำหรับวิธีที่จะให้ไขมัน ในร่างกายถูกย่อยไปนั้น ปัจจุบันไม่มีวิธีไหนที่พอจะช่วยได้หรือให้เห็นผลได้ดีกว่าการเลือกรับประทานอาหาร รวมถึงการควบคุมน้ำหนักของร่างกายที่มองดูแล้วอาจต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่สร้างผลลัพธ์ที่ดีกับร่างกายในระยะยาวได้ รวมถึงช่วยให้การย่อยและสลายของไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
กลับสู่สารบัญวิธีลด ไขมัน ในร่างกาย
เนื่องจากค่าของไขมันไม่ดี คือปริมาณของไขมันชนิดที่ไม่ควรอยู่ในร่างกาย ดังนั้นจึงมีวิธีในการลดค่าไม่ดีในร่างกายลง เพื่อให้เป็นผลดีต่อสุขภาพทั้งนี้เราได้ยกกลุ่มอาหารที่มีไขมันสูงมารวมไว้ด้วยและต้องหลีกเลี่ยงอะไรอีกบ้างมีดังนี้
1. เลือกประเภทของอาหารที่รับประทาน
ขอให้เน้นทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อร่างกาย เช่น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง อาหารทะเล อย่าง กุ้ง ปู ถ้าจำเป็นที่จะต้องรับประทานควรทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากจนเกินพอดี
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวที่เป็นไขมันชนิดไม่ดี เราพบเจอได้ในกลุ่มเนื้อสัตว์ นม เนย(บางชนิด)โดยกลุ่มของไขมันอิ่มตัวนี้จะเพิ่มค่าไขมันไม่ดี และไขมันดี รวมถึงค่าทีซีก็สูงขึ้นตามไปด้วยได้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทันเช่นเนยเทียมมาการีนผงฟูที่ใส่ในขนมไขมันประเภทนี้จะไปเพิ่มค่าไขมันไม่ดี และลดค่าไขมันดีในร่างกายลง
- หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ที่เกิดจากการปรุงผ่านความร้อน โดยเฉพาะอาหาร Fast Food ในแต่ละมื้อควรเลือกอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ผักและผลไม้ทุกชนิด
ค่าทีซี/TC คือ Total Cholesterol
สารที่มีความคล้ายไขมันที่ร่างการจำเป็นต้องใช้(แต่ไม่ใช่ไขมันที่แท้จริงเพราะมีค่าเป็น 0 แคลอรี่ ) ที่สำคัญยังเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื้อหุ้มเซลล์ทุก ๆ เซลล์ในร่างกาย ช่วยให้เซลล์สะดวกหรือง่ายต่อการผ่านเข้าออกของสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ เป็นสิ่งสำคัญที่ให้ร่างกายสร้างน้ำดีนั่นเอง
2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ โดยให้ใช้เวลาในการออกกำลังกายติดต่อกันนาน 30 นาทีขึ้นไปจะส่งผลให้ลดปริมาณไขมันไม่ดี เพิ่มไขมันดีไปด้วยพร้อม ๆ กัน
3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่มากหรือไม่น้อยเกิน
4. หยุดหรือเลิกสูบบุหรี่
5. ในกรณีที่มีไขมันไม่ดีสูงกว่าเกินควรพบแพทย์เพื่อรับยาลดปริมาณไขมันที่ไม่ควรอยู่ในร่างกายด้วย
กลับสู่สารบัญเครื่องวัดไขมัน
สำหรับหลาย ๆ คนที่ออกกำลังกายแน่นอนว่าจะต้องมีการวัดผล ซึ่งการวัดไขมันก็มีหลายวิธีด้วยกันบางคนก็จะใช้ CALIPER ในการหนีบไขมันใต้ผิวออกมาเป็นมิลลิเมตร ซึ่งแอบยากต่อคนที่ทำเองที่บ้านตรงที่บางจุดอาจยากต่อการหนีบหรือหนีบได้แต่ได้ค่าไม่ตรง
ดังนั้นก็ต้องมีตัวช่วยอย่างเครื่อง BIA หรือ เครื่องวัดสัดส่วนน้ำและไขมันในร่างกายที่ก็สามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้านด้วย
โดยเครื่อง BIA ก็ย่อมมาจากคำว่า BIOELECTRICAL IMPEDANCE ANALYSIS ที่จะมีแผ่นคลื่นกระแสไฟฟ้าเข้าไปในร่างกายของเรา โดยร่างกายของเรานั้นจะมี เนื้อเยื้อที่ไม่มีไขมัน มีน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 70% และน้ำก็จะเป็นสื่อกระแสนำไฟฟ้าได้ดีจนทำให้กระแสไฟฟ้าที่ส่งมาจาก ELECTRODE ไหลและย้อนกลับมาได้อย่างรวดเร็วและเมื่อไหร่ที่คลื่นไปเจอกับไขมันในร่างกายก็จะเกิดการชะลอทำให้เกิดแรงต้าน ที่เรียกว่า IMPEDANCE นี่เลยเป็นการวิเคราะห์อัตราส่วนของกล้ามเนื้อ LEAN TISSUE และ FAT TISSUE นั่นเอง
ความแม่นยำของเครื่องวัดไขมัน
การใช้เครื่องวัดไขมัน จะมีความผิดพลาดเสมอ จึงควรทำการวัดตาอเนื่องเพื่อดูแค่ค่าการเปลี่ยนแปลง เช่น เครื่องวัดไขมัน ครั้งก่อน 25% วันนี้ 20% ทำให้เราทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แม้จะไม่มีน้ำหนักที่ลดลงเลยก็ตาม
เช่น สมมติน้ำหนักเดิม 50 กิโลกรัม น้ำหนักใหม่ 51 กิโลกรัม เอาเข้าจริงเราบอกไม่ได้ว่าอะไรทำให้น้ำหนักขึ้น จนกว่าจะวัดปริมาณไขมัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าน้ำหนัก 50 เป็น 51 กิโลกรัม
อาจจะหมายถึง ไขมันลดลง 2 กิโลกรัมแต่กล้ามเนื้อเพิ่ม 3 กิโล ผลรวม เลยทำให้เหฌนน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 1 กิโล ซึ่งไม่ควรเสียใจมาก แต่น่าจะดีใจที่สัดส่วนจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดี แม้น้ำหนักจะไม่ลดลงก็ตามที สุดท้าย ไม่ว่าเครื่องวัดไขมัน จะถูกหรือแพง ก็สามารถบอกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
บทความน่าสนใจ ที่เกี่ยวข้อง
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography