ผลข้างเคียงยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraception Pill: ECP) เป็นหนึ่งในปัญหาที่ผู้หญิงควรรู้ก่อนที่จะตัดสินใจใช้ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะดูง่ายและมีประสิทธิภาพในการควบคุมกำเนิด แต่ก็มีความเสี่ยงบางประการที่ควรพิจารณาให้ดี
แพทย์หรือเภสัชกรอาจแนะนำให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินในกรณีบางประการ เช่น มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันหรือไม่ได้รับความยินยอม ลืมใช้ยาคุมกำเนิด หรือถุงยางฉีกขาด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมหรือไม่ตั้งใจได้ การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในช่วงเวลาที่เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์จะเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมกำเนิด โดยเฉพาะในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ดังก่อนใช้ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะตัดสินใจใช้เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหลังการใช้นั่นเอง
ชนิดของยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท เช่น ยาที่มีตัวยายูริพริสทอล อะซิเตท (Ulipristal Acetate) หรือตัวยาลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) นอกจากนี้ยังมียาคุมแบบฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive Pills: COCs) ที่ผสมตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลและยาเอธินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol) ไว้ด้วยกัน
การใช้ยาแต่ละชนิดนั้นมีกรอบเวลาและปริมาณที่ต่างกัน ดังนั้นการอ่านฉลากก่อนการใช้ยาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การใช้ยาเป็นไปได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
กินยาคุมฉุกเฉินอย่างไร ไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
การใช้ยาคุมฉุกเฉินถือเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ เว้นแต่จะไม่ได้ใช้ตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสี่ยงได้ วันนี้เราจะพูดถึงวิธีการใช้ยาคุมฉุกเฉินในทางที่ถูกต้องตามคำแนะนำจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การใช้ยานี้เป็นปลอดภัยมากที่สุด
- ขั้นตอนแรกคือการทานเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า ขั้นตอนนี้มีความสำคัญเพราะจะช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ
- เมื่อคุณทานเม็ดแรกแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการทานเม็ดที่สอง ซึ่งควรทำภายใน 12 ชั่วโมงหลังจากที่คุณทานเม็ดแรก การทำตามขั้นตอนนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินและลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
- สำหรับกรณีที่ใช้ยาคุมฉุกเฉินเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน เช่น เพศสัมพันธ์โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า ยาคุมฉุกเฉินก็ยังคงเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
- การใช้ยาคุมฉุกเฉินนั้น ถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จะเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการปกป้องคุณและคู่สมรสของคุณ
ยาคุมฉุกเฉิน มีกลไกการทำงานอย่างไร ?
การศึกษาพบว่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการยับยั้งหรือทำให้การตกไข่เลื่อนออกไป เช่นเดียวกับประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินทำให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมในการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว และมีผลต่อการเดินทางของไข่ที่ถูกผสม
สำหรับผู้ที่ได้รับยาคุมฉุกเฉินแล้วตั้งครรภ์ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสิ้นสุดการตั้งครรภ์หรือการแท้ง เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีผลเพียงระยะสั้นเท่านั้น ไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามการใช้ยาคุมฉุกเฉินไม่มีผลต่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นวิธีป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และความปลอดภัยที่ดีที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัยในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
มีเลือดออกหลังกินยาคุมฉุกเฉิน อันตรายหรือเปล่า
แน่นอนว่าการกระตุ้นฮอร์โมนอย่างฉับพลันสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ หลังจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน เจอกับอาการที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ปวดศีรษะ และปวดท้อง รวมถึงการมีเลือดออกกะปริบกะปรอย รอบประจำเดือนที่มาเร็วหรือช้ากว่าปกติ เหล่านี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน ซึ่งมักจะไม่เป็นอันตราย แต่หากพบว่าอาการเหล่านี้คงที่หรือเกิดขึ้นมากจากปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพของคุณ
กินยาคุมฉุกเฉินหลังมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ “ไม่ท้อง” ได้จริงหรือ
การเข้าใจเกี่ยวกับ “ยาคุมฉุกเฉิน” บางครั้งอาจมีความสับสนว่ามันจะทำให้ไม่ตั้งครรภ์เหมือนกับยาคุมปกติ แต่ความจริงคือ ยาคุมฉุกเฉินมีบทบาทในการขัดขวางกระบวนการตกไข่และการเคลื่อนไหวของอสุจิ รวมถึงเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อทำให้ไข่ยากต่อการฝังตัว พูดง่าย ๆ ก็คือ ยาคุมฉุกเฉินช่วย ลดโอกาส ในการตั้งครรภ์ และไม่ใช่วิธีป้องกันที่ถาวร
ผลข้างเคียงยาคุมฉุกเฉิน หลังใช้เป็นอย่างไร ?
การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงยาคุมฉุกเฉินแบบต่าง ๆ ที่ควรรู้กัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน การมีประจำเดือนที่มาเร็วหรือช้า ปวดท้อง เจ็บคัดเต้านม หรือการมีเลือดออกกะปริบกะปรอยหรือระหว่างเดือน หากประจำเดือนไม่มาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์หลังการใช้ยา ควรพิจารณาที่จะตรวจสอบว่าเป็นการตั้งครรภ์หรือไม่ และควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาเพิ่มเติม
การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินต้องทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์โดยไม่ใช้วิธีป้องกันการตั้งครรภ์ อัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินประมาณ 2% เท่านั้น ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 8% หรือสามารถกล่าวได้ว่า ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินสามารถลดโอกาสตั้งครรภ์ได้ถึง 75%
นั่นหมายความว่า ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดทั่วไป เนื่องจากการตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับเวลาที่เริ่มต้นรับประทานยาและช่วงเวลาของการมีเพศสัมพันธ์ในรอบเดือน ดังนั้น ควรระมัดระวังในการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความล้มเหลวได้
ผู้ที่ห้ามใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินคือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อหลาย ๆ โรคร้ายต่าง ๆ ที่อาจทำให้การใช้ยาเหล่านี้เสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้น
- ผู้ที่มีมะเร็งของอวัยวะภายในหรือมะเร็งเต้านม
- ผู้ที่เป็นโรคตับเฉียบพลันหรือตับแข็ง รวมถึงผู้ที่เสี่ยงต่อมะเร็งตับ
- ผู้ที่มีประวัติของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีโรคลิ่มเลือดอุดตัน
- ผู้ที่มีโรคลมชักและต้องรับประทานยากันชัก
- ผู้ที่มีโรคเบาหวานและมีภาวะไตหรือหลอดเลือดผิดปกติ
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีและสูบบุหรี่
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาก (อ้วน)
- ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีปัญหาไมเกรนชนิดที่มีอาการเตือน (Migraine with aura)
สรุป
การใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะเมื่อทานเม็ดทันทีหลังมีกิจกรรมทางเพศ อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นการคุมกำเนิดเป็นประจำ เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีฮอร์โมนที่สูง อาจเกิดผลข้างเคียงยาคุมฉุกเฉินและการผิดปกติในระบบรอบเดือนได้ อาจมีอาการปวดเกร็งท้องน้อย และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเพียงในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และหลังการใช้ยา หากมีการเปลี่ยนแปลงในระบบรอบเดือน เช่น ประจำเดือนไม่ปกติ การขาดประจำเดือน ควรพบแพทย์โดยเร็ว และหากกล้ามหน้าท้องไม่เท่ากันสามารถปรึกษาวิธีการรักษากับเราได้
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย