อาการของ เบาหวาน และป้องกันก่อนเป็นเบาหวานอย่างถูกวิธี

เบาหวาน

สารบัญ

ทำความเข้าใจ โรคเบาหวาน คืออะไร

เบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือ โรคเรื้อรังที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ เนื่องจากร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับ อินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

อินซูลินอาจสร้างไม่พอ หรือร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลค้างอยู่ในเลือด ส่งผลเสียต่อหลอดเลือดและอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตา ไต เส้นประสาท

ประเภทของ โรคเบาหวาน

ประเภทของโรคเบาหวาน

เบาหวาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)

เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย เพราะระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติไปทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน และน้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ จึงทำให้น้ำตาลค้างอยู่ในเลือดในปริมาณสูง

โดยสาเหตุอาจมาจากพันธุกรรม และ ภูมิคุ้มกันผิดปกติ (Autoimmune) ส่วนใหญ่พบในเด็กและวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้เช่นเดียวกัน

อาการเด่น

  • ปัสสาวะบ่อย
  • หิวน้ำบ่อย กระหายน้ำ
  • น้ำหนักลดรวดเร็ว ทั้งที่กินเยอะ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • อาจมีอาการ เบาหวานขึ้นตา และ ปลายประสาทอักเสบ ได้เร็วกว่าชนิดอื่น ๆ

การรักษา

  • ต้องฉีด อินซูลินทุกวัน ตลอดชีวิต
  • ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเองทุกวัน

2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ร่างกายผลิตอินซูลินได้ แต่ ใช้ไม่ได้ผล (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) อินซูลินไม่สามารถพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเบาหวานชนิดที่พบบ่อยที่สุด 90-95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด

สาเหตุมาจาก น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงดื้อต่ออินซูลิน และพฤติกรรมชีวิต ชื่นชอบการกินหวานจัด ของมัน ของทอด ไม่ออกกำลังกาย อีกทั้งพันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน และคนอายุ 40 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นมากขึ้น

อาการเบื้องต้น

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  • กระหายน้ำ หิวบ่อย กินเยอะ แต่น้ำหนักลด
  • เหนื่อยง่าย มึนศีรษะ
  • แผลหายช้า ผิวหนังติดเชื้อง่าย คันตามผิวหนัง
  • ชา หรือปวดแสบปลายมือปลายเท้า (ปลายประสาทเสื่อม)
  • ตาพร่ามัว เบาหวานขึ้นตาในระยะยาว

การรักษา

  • ควบคุมอาหาร ลดน้ำตาล แป้ง และไขมัน
  • ออกกำลังกาย อย่างน้อย 30 นาที/วัน
  • ทานยาเม็ดลดน้ำตาลในเลือด เช่น Metformin
  • ถ้าควบคุมไม่ได้ อาจต้องฉีดอินซูลิน
  • ตรวจติดตามน้ำตาลในเลือดและ HbA1c อย่างสม่ำเสมอ

3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เป็นภาวะที่หญิงตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นชั่วคราว ส่วนใหญ่มักจะเกิดใน ไตรมาสที่ 2 หรือ 3 ของการตั้งครรภ์ และมักหายไปหลังคลอด แต่เสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตสูงขึ้น

สาเหตุมาจากระหว่างตั้งครรภ์ โดยที่รกจะสร้างฮอร์โมนที่ต้านอินซูลิน จนทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และน้ำหนักเกินตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ หรือมีประวัติเคยเป็นเบาหวานในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน

อาการ

  • มักไม่แสดงอาการชัดเจน
  • ตรวจเจอจากการ ตรวจคัดกรองน้ำตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์
  • บางรายอาจมีปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวแม่ขึ้นผิดปกติ

ผลกระทบถ้าไม่รักษา

  • ลูกมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน (Macrosomia) คลอดยาก
  • เสี่ยงเบาหวานและอ้วนในเด็ก
  • เพิ่มโอกาสครรภ์เป็นพิษและคลอดก่อนกำหนด

การรักษา

  • ควบคุมอาหาร ลดแป้งและน้ำตาล
  • ออกกำลังกายเบา ๆ ตามคำแนะนำแพทย์
  • บางรายอาจต้องฉีดอินซูลินชั่วคราว
อาการเริ่มต้นของ โรคเบาหวาน ที่พบได้บ่อย

อาการเริ่มต้นของ โรคเบาหวาน ที่พบได้บ่อย

โรค เบาหวาน ในระยะแรก มักไม่มีอาการชัดเจน แต่จะมีสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราควรสังเกต เพราะถ้าปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ โดยต่อไปนี้คือ อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

1. ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน

ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน สาเหตุมาจาก น้ำตาลในเลือดสูง ไตพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ทำให้เข้าห้องน้ำบ่อยจนรบกวนการนอนหลับ

2. กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย

กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะถี่ กระหายน้ำตลอดเวลา ดื่มน้ำเท่าไรก็ไม่พอ

3. หิวบ่อย กินจุ แต่ยังรู้สึกไม่อิ่ม

หิวบ่อย กินจุ แต่ยังรู้สึกไม่อิ่ม เพราะน้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ ร่างกายขาดพลังงาน สมองสั่งให้หิวบ่อยขึ้น

4. น้ำหนักลดผิดปกติ แม้กินเยอะ

น้ำหนักลดผิดปกติ แม้กินเยอะ เพราะร่างกายเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน เพราะน้ำตาลถูกใช้ไม่ได้ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว

5. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ถึงแม้ไม่ได้ทำอะไรหนัก เพราะพลังงานจากน้ำตาลไม่ถูกนำไปใช้ในเซลล์ได้ดี ทำให้รู้สึกหมดแรงง่ายขึ้น

6. สายตาพร่ามัว มองไม่ชัดเป็นระยะ ๆ

สายตาพร่ามัว มองไม่ชัดเป็นระยะ ๆ เพราะ น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ของเหลวในเลนส์ตาเปลี่ยน สายตาเบลอ บางครั้งหายเองเมื่อระดับน้ำตาลกลับสู่ปกติ แต่ถ้าเรื้อรัง เสี่ยงเบาหวานขึ้นตา

7. แผลหายช้า ติดเชื้อง่าย

แผลหายช้า ติดเชื้อง่าย สาเหตุมาจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดเสื่อม เลือดไหลเวียนไม่ดี ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และแผลที่เล็กน้อยอาจกลายเป็นแผลเรื้อรังหรือแผลติดเชื้อรุนแรง

8. ผิวแห้ง คันตามตัว หรือมีผื่น

ผิวแห้ง คันตามตัว หรือมีผื่น สาเหตุมาจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น บางคนมีปัญหาเชื้อราในผิวหนัง หรือคันบริเวณซอกนิ้ว รักแร้ ขาหนีบ

อาการแทรกซ้อนของโรค เบาหวาน ที่อันตราย

อาการแทรกซ้อนของโรค เบาหวาน ที่อันตราย

เบาหวาน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี หรือปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา สามารถทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และบางกรณีอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ โดยอาการแทรกซ้อนที่อันตรายของโรคเบาหวาน มีดังนี้

1. เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy)

อาการเบาหวานขึ้นตา เกิดจากน้ำตาลสูงทำให้หลอดเลือดฝอยในจอตาเสียหาย ตาบอดได้ มักมีอาการ สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด เห็นจุดดำหรือเงาดำบังการมองเห็น และในระยะรุนแรง ตาบอดถาวร ควรตรวจจอตาทุกปี แม้ไม่มีอาการ

2. โรคไตวายเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic Nephropathy)

โรคไตวายเรื้อรังจากเบาหวาน เกิดจากไตกรองน้ำตาลในเลือดมากเกินไป จนทำให้ไตเสื่อมและเสียหน้าที่ มักมีอาการ ปัสสาวะเป็นฟอง (โปรตีนรั่วในปัสสาวะ) บวมที่หน้า ขา หรือเท้าความดันโลหิตสูงขึ้น ในระยะสุดท้าย ไตวาย ต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต

3. โรคปลายประสาทเสื่อม (Diabetic Neuropathy)

โรคปลายประสาทเสื่อม เกิดจากน้ำตาลทำลายปลายประสาททั่วร่างกาย มักมีอาการชา เจ็บแปลบ ปวดแสบปลายมือปลายเท้า อ่อนแรง เดินลำบาก ระบบประสาทอัตโนมัติเสีย ควบคุมการขับถ่ายลำบาก ความดันตก ความเสี่ยง คือ มีแผลที่เท้าหายช้า จนติดเชื้อและเสี่ยงต้องตัดขา

4. แผลเบาหวานที่เท้า (Diabetic Foot Ulcer)

แผลเบาหวานที่เท้า เกิดจากปลายประสาทเสีย เลือดไหลเวียนไม่ดี จนทำให้เท้าเกิดแผลเรื้อรัง มักมีอาการแผลหายช้า ติดเชื้อ เป็นหนอง แผลลุกลามถึงเนื้อเยื่อ เนื้อตาย ดำ จนต้องตัดนิ้วหรือตัดขา โดยควรระวัง คือ ตรวจเท้าและดูแลเท้าทุกวัน

5. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease)

โรคหัวใจและหลอดเลือด เกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบ อาการ เจ็บแน่นหน้าอก หัวใจวายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงหัวใจวายมากกว่าคนทั่วไป 2-4 เท่า

6. เบาหวานขึ้นสมอง (Cerebrovascular Disease)

เบาหวานขึ้นสมอง เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก อาการ เวียนศีรษะ หน้ามืด ปวดศีรษะรุนแรง พูดไม่ชัด ชาครึ่งซีก หรืออัมพาต สูญเสียความจำ หรือการรับรู้บกพร่อง

7. ภาวะกรดคีโตในเลือดสูง (Diabetic Ketoacidosis - DKA)

ภาวะกรดคีโตในเลือดสูง มักพบใน เบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจาก ขาดอินซูลิน ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงาน จนนำสร้างคีโตมากเกิน มักมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลึกและเร็ว มีกลิ่นปากคล้ายผลไม้เน่า หมดสติ หรืออาจเสียชีวิต กรณีฉุกเฉินต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

8. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดจากกินยา/อินซูลินมากเกินไป หรือไม่กินอาหารตามเวลามักมีอาการ หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก มือสั่น มึนงง สับสน หมดสติ ถ้าหากไม่รีบรักษา อาจนำไปสู่สภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  • คุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • คุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด
  • ตรวจตา ไต เท้า และหัวใจอย่างน้อยปีละครั้ง
  • ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร
  • งดยาสูบและแอลกอฮอล์
  • กินยาตามแพทย์สั่ง ไม่ปรับยาเอง
วิธีป้องกัน เบาหวาน ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน

วิธีป้องกัน เบาหวาน ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน

โรคเบาหวาน โดยเฉพาะ เบาหวานชนิดที่ 2 สามารถ ป้องกันได้ถึง 80% ถ้าปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นโรคก่อนถึงจะเริ่มดูแลตัวเอง และนี่คือวิธีป้องกันเบาหวานที่ทำได้ง่าย

1. ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร

  • ลดหวาน ลดน้ำตาล เช่น เครื่องดื่มหวาน ขนม ของหวานทุกชนิด
  • ลดแป้งขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว เปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง หรือธัญพืชไม่ขัดสี
  • ลดไขมันทรานส์/ไขมันอิ่มตัว เลี่ยงของทอด ฟาสต์ฟู้ด ของมัน เนื้อสัตว์ติดมัน
  • เพิ่มไฟเบอร์ ผักสด ผลไม้ไม่หวานจัด ถั่ว ธัญพืช ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด
  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในสัดส่วนเหมาะสม เน้นโปรตีนจากปลา เต้าหู้ ถั่ว
  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและเกลือสูง เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารกระป๋อง

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ออกกำลังกายแบบ แอโรบิค หรือ เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์
  • เพิ่มเวทเทรนนิ่งหรือโยคะ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • หรือถ้าหากไม่มีเวลา อาจจะหาจังหวะขยับร่างกายระหว่างวัน เช่น เดินขึ้นบันได เดินหลังอาหาร

3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

  • ลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว ลดความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ถึง 50%
  • ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ควรอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 kg/m²
  • วัดรอบเอว ผู้ชายไม่ควรเกิน 90 ซม., ผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 ซม. (ไขมันหน้าท้องอันตราย)

4. เลิกบุหรี่ และลดแอลกอฮอล์

  • การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 ถึง 30-40%
  • แอลกอฮอล์ ควรลดให้น้อยที่สุด เพราะกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและทำลายตับ

5. จัดการความเครียด

  • ความเครียดเรื้อรัง ฮอร์โมนคอร์ติซอลสูง เพิ่มน้ำตาลในเลือด
  • ควรทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย ฝึกสมาธิ โยคะ นั่งเงียบ ๆ เดินเล่น
  • นอนหลับให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อคืน

6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด Fasting Blood Sugar และ HbA1c อย่างน้อยปีละครั้ง
  • หากมี ประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน หรือมี น้ำหนักเกิน ซึ่งควรตรวจทุก 6 เดือน
  • ค่าที่ควรจำ 
    • น้ำตาลตอนอดอาหาร (FBS): ปกติ < 100 mg/dL
    • HbA1c: ปกติ < 5.7%
    • ถ้าค่าเริ่มสูง อยู่ในกลุ่ม Prediabetes ต้องปรับพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว

กลุ่มคนที่ควรเริ่มป้องกัน โรคเบาหวาน

  1. อายุ 35 ปีขึ้นไป
  2. น้ำหนักเกิน หรือมีรอบเอวเกินเกณฑ์
  3. ประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
  4. ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
  5. ผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
โรคอ้วน ทำไมจึงเสี่ยงเป็นเบาหวาน มากกว่า

โรคอ้วน ทำไมจึงเสี่ยงเป็นเบาหวาน มากกว่า

โรคอ้วน ไม่ได้แค่เพิ่มน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมาก โดยเฉพาะคนที่มี ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง (ลงพุง) ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับการดื้อต่ออินซูลิน และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติ

1. ภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • เมื่อร่างกายมีไขมันสะสมมาก โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง เซลล์จะตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง
  • ร่างกายผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อชดเชย จนวันหนึ่งเซลล์เบต้าในตับอ่อนเริ่มเหนื่อยและเสื่อม น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาไปเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

2. ไขมันหน้าท้องทำลายระบบเผาผลาญ (อันตรายที่สุด!)

  • ไขมันหน้าท้องผลิตสารอักเสบและฮอร์โมนผิดปกติ รบกวนกระบวนการเผาผลาญและควบคุมน้ำตาลในเลือด
  • กระตุ้นให้เกิดภาวะ ไขมันพอกตับ เพิ่มภาระในการควบคุมน้ำตาลและไขมันในเลือด

3. อ้วน คือ การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังที่เกี่ยวพันกับเบาหวาน

  • ความดันโลหิตสูง
  • ไขมันในเลือดผิดปกติ (LDL สูง, HDL ต่ำ)
  • ทั้งหมดนี้ส่งผลเสริมกัน เพิ่มความเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 2
  • คนอ้วนมักมี พฤติกรรมไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกาย, กินหวานจัด, ทานอาหารไขมันสูง เร่งการเกิดเบาหวาน

อาการอ้วนที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงเป็น เบาหวาน

  1. น้ำหนักขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่พุง
  2. เหนื่อยง่าย แม้ไม่ออกแรงมาก
  3. หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย (ถ้าเริ่มมีน้ำตาลสูงแล้ว)
  4. ค่าความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ
  5. มีปัญหาไขมันพอกตับ
  6. มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน

แนวทางลดเสี่ยง เบาหวาน ในคนอ้วน

  1. ลดน้ำหนักให้ได้ 5-10% ของน้ำหนักตัว ลดดื้อต่ออินซูลินทันที
  2. ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ
  3. ลดแป้งขัดสี น้ำตาล ของทอด และเน้นโปรตีนดีและไฟเบอร์สูง
  4. ตรวจสุขภาพและระดับน้ำตาลในเลือดทุกปี
  5. ควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  6. งดบุหรี่และแอลกอฮอล์

สรุป อาการของ เบาหวาน และป้องกันก่อนเป็นเบาหวานอย่างถูกวิธี

เบาหวาน เป็นโรคเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ อีกทั้งคนอ้วนยังมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่มี ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง (ลงพุง) ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับการ ดื้อต่ออินซูลิน และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติ

ดังนั้น หากคุณอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องดูแลตัวเอง แต่ไม่ทราบว่าเริ่มต้นอย่างไรดี สามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ที่รัตตินันท์ คลินิก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า