ยาคุมกินแล้วไม่อ้วน มีหรือไม่ และควรเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างไร?

ยาคุมกินแล้วไม่อ้วน

ยาคุมกินแล้วไม่อ้วน คุณอาจต้องการเลือกยี่ห้อที่มีเอสโตรเจนและโปรเจสตินในปริมาณต่ำ เพื่อลดผลข้างเคียงของฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดที่สูงเกินไป ซึ่งอาจช่วยลดอาการบวมน้ำและความอยากอาหารหลังจากที่คุณรับประทานยาคุมได้ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มน้ำหนักหลังจากรับประทานยาอาจเป็นผลข้างเคียงชั่วคราว ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรพบแพทย์ เพื่อปรึกษาอาการและเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิดให้เหมาะสมกับร่างกาย

ยาคุมกำเนิด

ยาคุมทำให้อ้วนได้หรือไม่

การกินยาคุมกำเนิดอาจทำให้อ้วนได้ อาจเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในปริมาณที่สูงมาก ทำให้ร่างกายเพิ่มการกักเก็บของเหลวมากขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมน้ำในครั้งแรกที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดซึ่งเป็นผลข้างเคียงเพียงชั่วคราวและอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน นอกจากนี้ โปรเจสตินในปริมาณสูงอาจเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ผู้คนกินอาหารมากขึ้นซึ่งส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ยาคุมกินแล้วไม่อ้วน ควรเลือกอย่างไร

หากคุณรู้สึกว่าคุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิด คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนประเภทของยาคุมกำเนิดที่คุณรับประทานอยู่ ยาคุมกำเนิดมี 2 ประเภทดังนี้

1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินเท่านั้น

เป็นยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเพียงอย่างเดียว ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์โดยการทำให้มูกบริเวณปากมดลูกข้นขึ้น ทำให้สเปิร์มผสมกับไข่ได้ยากขึ้น หากรับประทานยาคุมอย่างถูกต้องจะสามารถคุมกำเนิดได้ แต่อาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เนื่องจากอาจยับยั้งการตกไข่ได้น้อยกว่า นอกจากนี้ยังอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีเลือดออก หรือประจำเดือนขาดและอาจมีผลข้างเคียงได้ ตัวอย่างเช่น ยาคุมกำเนิดอาจทำให้ผิวหนังมีจุดและเจ็บเต้านมได้ อาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เองภายในไม่กี่เดือนหากใช้ยาอย่างต่อเนื่อง

วิธีรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว

  • ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวสำหรับผู้ทานครั้งแรก ควรเริ่มในวันที่มีประจำเดือนวันแรกหรือไม่เกิน 5 วัน หากเกิน 5 วัน ให้ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์จนถึง 2 วันหลังจากรับประทานยา
  • กินยาคุมกำเนิดทุกวันหรือไม่เกิน 3 ชั่วโมงในเวลาเดียวกันในแต่ละวัน
  • เมื่อเริ่มยาซองใหม่สามารถรับประทานยาได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดยา
  • ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวเหมาะกับใคร?
  • สตรีให้นมบุตร เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนจากฮอร์โมนรวมจะส่งผลต่อปริมาณน้ำนม
  • สตรีที่มีโรคหลอดเลือดอุดตัน

2.ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเป็นยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบรับประทาน มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ หากรับประทานอย่างถูกต้อง ยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยฮอร์โมนทำให้มูกปากมดลูกข้นขึ้น สเปิร์มจึงผสมกับไข่ได้ยากขึ้น นอกจากนี้ยังป้องกันการตกไข่ และทำให้เยื่อบุมดลูกบางลง เป็นภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน เนื่องจากเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์จึงอาจมีผลข้างเคียงเช่น

  • อารมณ์แปรปรวน
  • คลื่นไส้
  • เจ็บเต้านม ปวดศีรษะ
  • เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
  • ภายในเวลาไม่กี่เดือน อาการเหล่านี้จะหายไปเอง และรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดให้ตรงเวลา นอกจากนี้ยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน สิ่งนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เล็กน้อย

ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมมีสามประเภทหลักดังนี้

  1. ชนิดฮอร์โมนระดับเดียว (Monophasic pills) นี่เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด มีทั้งหมด 21 เม็ด และแต่ละเม็ดมีเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในปริมาณที่เท่ากัน รับประทานวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 21 วัน และห้ามรับประทานยาต่อไปอีก 7 วัน
  2. ชนิดฮอร์โมนระดับเดียวแบบรับประทานทุกวัน (Every day (ED) pills) ยาจะมีทั้งหมด 28 เม็ด เป็นฮอร์โมน 21 เม็ด และสารที่ไม่ใช่ฮอร์โมน 7 เม็ด เช่น ธาตุเหล็กหรือผง รับประทานวันละ 1 เม็ดทุกวันโดยไม่หยุดพัก
  3. ชนิดฮอร์โมนสองระดับ (Phasic pills) เป็นยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมน 2 ระดับที่แตกต่างกันในก้อนเดียว รับประทานวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 21 วัน และห้ามรับประทานอีก 7 วัน ต้องรับประทานตามลำดับให้ถูกต้อง เนื่องจากฮอร์โมนในแต่ละเม็ดมีความแตกต่างกัน

วิธีรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม

  • เริ่มรับประทานยาเม็ดแรกในวันแรกของรอบเดือนหรือไม่เกิน 5 วันนับจากวันแรกของรอบเดือน
  • เริ่มรับประทานยาตั้งแต่เม็ดแรกตามที่ระบุไว้และให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวันติดต่อกัน
  • เมื่อทานยาเสร็จให้หยุดทานยา 7 วัน และเริ่มทานแผงใหม่ในวันที่ 8
  • สำหรับยาคุม 28 เม็ด สามารถทานต่อเนื่องและเริ่มแผงใหม่ได้เลยโดยไม่ต้องเว้น 7 วัน
  • หากคุณผ่านการคลอดบุตร แท้งบุตร หรือมีประจำเดือนผิดปกติ ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการรับประทานยาคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเหมาะกับใคร?

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมให้ผู้หญิงทุกคนรับประทานได้ แต่เป็นไปได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาใด ๆ เสมอ มีหลายประเภทและจำนวนแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ เพื่อการเลือกที่เหมาะสมที่สุดของแต่ละคน นอกจากนี้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือมีภาวะสุขภาพบางอย่างอาจไม่เหมาะกับการรับประทานยาคุมกำเนิด

  • กำลังตั้งครรภ์
  • น้ำหนักเกินมาตรฐานมาก
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส และยารักษาโรคลมบ้าหมู
  • สูบบุหรี่หรือเลิกสูบมาแล้วน้อยกว่า 1 ปี และมีอายุมากกว่า 35 ปี
  • ปวดไมเกรนรุนแรง
  • มีลิ่มเลือดในเส้นเลือด
  • โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบตัน
  • ทุกคนในครอบครัวของคุณมีลิ่มเลือดในขณะที่อายุต่ำกว่า 45 ปี
  • ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ
  • โรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • โรคถุงน้ำดีหรือตับ
  • โรคมะเร็งเต้านม

ยาคุมกำเนิดทั้ง 2 ชนิดนี้แต่ละยี่ห้ออาจใช้ฮอร์โมนคนละประเภท โดยอาจเลือกใช้ยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินเป็นชนิดดรอสไพรีโนน (Drospirinone) ซึ่งจะช่วยลดการกักเก็บน้ำในร่างกายและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามอาจมีปริมาณฮอร์โมนที่แตกต่างกันเล็กน้อย สิ่งนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ดังนั้นอาจจะต้องเลือกยี่ห้อยาคุมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินไม่สูงเกินไป เพื่อลดอาการบวมน้ำและลดความอยากอาหาร ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของฮอร์โมนที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เกิดขึ้นชั่วคราว ดังนั้นควรรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อสังเกตอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรไปพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาเม็ดคุมกำเนิด

การทำงานยาคุมกำเนิด

การทำงานของยาคุมกำเนิด

การตั้งครรภ์เกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ผลิตจากรังไข่ได้รับการปฏิสนธิกับสเปิร์มแล้วฝังตัวในผนังมดลูก การรับประทานยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้องอาจช่วยให้ร่างกายของคุณผลิตเมือกมากขึ้นรอบ ๆ ปากมดลูก ทำให้สเปิร์มเข้าถึงไข่และปฏิสนธิได้ยากขึ้น ไข่ที่ปฏิสนธิไม่สามารถฝังตัวในผนังมดลูกได้

ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด

ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดอาจเกิดขึ้นได้ดังนี้

  • ขาดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • อาเจียน คลื่นไส้
  • วิงเวียนศีรษะ
  • เจ็บเต้านม
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ลิ่มเลือดพบได้บ่อยในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่
  • น้ำหนักเพิ่มหรือลดลง
  • เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม

ลืมกินยาคุมกำเนิดควรทำอย่างไร?

หากคุณลืมรับประทานยาเม็ดแบบ 21 วันและ 28 วัน ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ในวันเดียวกัน แล้วรับประทานครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ติดต่อกัน 2 วัน แล้วรับประทานวันละ 1 เม็ดตามปกติจนหมดซอง

หากคุณลืมรับประทานยาคุมกำเนิดนานกว่า 3 วัน คุณควรหยุดรับประทานยาเม็ดเดิม และเริ่มรับประทานแผงใหม่ในวันแรกของรอบเดือนถัดไปของคุณ ขณะหยุดรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดหากคุณมีเพศสัมพันธ์ คุณควรใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น เช่น การใช้ถุงยางอนามัย

กินยาคุมแล้วน้ำหนักขึ้น

วิธีดูแลตัวเองเมื่อกินยาคุมแล้วน้ำหนักขึ้น

ถ้ากินยาคุมแล้วน้ำหนักขึ้น เพราะความอยากอาหารที่เพิ่มขึ้นควรดูแลตัวเองดังนี้

  • การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องลุกขึ้นเดินไปมา ยืดเหยียดทุก 30 นาทีเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวและอาจช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  • น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง ดังนั้นควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ที่มีไขมันต่ำ น้ำตาลต่ำ และมีเส้นใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ นมไขมันต่ำ เนื้อไม่ติดมัน และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น คุกกี้ เค้ก เครื่องดื่มหวาน นมหวาน และอาหารแปรรูป เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับแคลอรีสูงเกินไป
  • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ ควรออกกำลังกายหนักปานกลางมากขึ้น เช่น วิ่งเหยาะ ๆ เดินเร็ว ๆ เต้นแอโรบิก อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือ 30 นาที/วัน คุณควรเพิ่มการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน เช่น ซิทอัพ แพลงก์ ยกน้ำหนัก และสควอทเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย

น้ำหนักตัวมาก ออกกำลังกายไม่ได้ผล ทำอย่างไร?

ในคนที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานมาก เข้าข่ายเป็น ‘โรคอ้วน’ และมีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วยจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ หรือออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักได้ ในทางการแพทย์มีการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการผ่าตัดกระเพาะ คือการทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลงเท่ากล้วย 1 หวี และตัดฮอร์โมนความหิวออกด้วย ก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้มากและช่วยลดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากความอ้วนได้ด้วย หรือในบางคนที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ก็สามารถดูดไขมันเพื่อลดสัดส่วน ทำให้รูปร่างกลับมาสวยงามได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 2 วิธีนี้ จะต้องเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการก่อน เพื่อเลือกวิธีรักษาได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาที่แท้จริง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม :

ดูดไขมันเฉพาะจุด ทำอย่างไร? ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก รักษาโรคอ้วน
รีวิวดูดไขมันร่อง 11 เซ็กซี่ไลน์ ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ 3
รีวิว ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก แบบ Bypass ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์

ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์
ผ่านช่องทางไลน์ หรือโทรศัพท์

086-570-7040
CTA Lipo 2
CTA Lipo 1
QR code surgery

สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า