หายใจไม่เต็มปอด สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

หายใจไม่เต็มปอด

อาการ หายใจไม่เต็มปอด หรือ DYSPNEA เป็นภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าการหายใจไม่เพียงพอ รู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก และต้องใช้แรงมากขึ้นในการหายใจ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการออกกำลังกายอย่างหนัก ความเครียด โรคไข้หวัด โรคภูมิแพ้ หรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด หรือโรคหัวใจ 

อาการหายใจไม่เต็มปอด สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น อาการหายใจลำบากเฉียบพลันที่เกิดขึ้นภายใน 2-3 ชั่วโมง หรืออาการหายใจลำบากเรื้อรังที่เกิดขึ้นนานกว่า 2-3 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีอาการหายใจลำบากขณะนอนหลับที่อาจทำให้ผู้ป่วยตื่นขึ้นมากลางดึก หากใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่วันนี้เราจะพามารู้จักกับ สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาว่าควรทำอย่างไรพร้อมแล้วเราไปดูรายละเอียดต่าง ๆ จากบทความนี้กันได้เลย

สาเหตุของการหายใจไม่เต็มปอด

สาเหตุของการหายใจไม่เต็มปอด

สาเหตุของการหายใจไม่เต็มปอดสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

1. โรคหัวใจ

โรคหัวใจเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการหายใจไม่เต็มปอด เนื่องจากหัวใจมีบทบาทสำคัญในการสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากหัวใจทำงานผิดปกติ จะส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ : เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้
  • หัวใจล้มเหลว : เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย และบวมที่ขาและข้อเท้า
  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ : การเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอสามารถทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่เป็นปกติ ส่งผลให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่มและเหนื่อยง่าย

2. โรคปอด

โรคปอดเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหายใจไม่เต็มปอด เนื่องจากปอดมีหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์

  • โรคหอบหืด : เป็นภาวะที่หลอดลมตีบแคบลง ทำให้การไหลเวียนของอากาศไม่สะดวก ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและหายใจมีเสียงหวีด
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) : เป็นภาวะที่หลอดลมและถุงลมในปอดถูกทำลาย ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซไม่เป็นปกติ ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและเหนื่อยง่าย
  • วัณโรค : การติดเชื้อแบคทีเรียในปอดทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อปอด ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและมีอาการไอเรื้อรัง
  • ปอดบวม : การติดเชื้อในปอดทำให้เกิดการอักเสบและสะสมของของเหลวในถุงลม ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและมีไข้สูง
  • ถุงลมโป่งพอง : เป็นภาวะที่ถุงลมในปอดถูกทำลาย ทำให้ปอดไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและเหนื่อยง่าย

3. โรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจางเป็นภาวะที่ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอที่จะนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม และอ่อนเพลีย

4. โรคมะเร็งปอด

การเกิดขึ้นของเนื้องอกหรือเนื้อร้ายในปอดสามารถขัดขวางการไหลเวียนของอากาศและการแลกเปลี่ยนก๊าซ ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ไอเรื้อรัง และน้ำหนักลด

5. โรคอื่น ๆ

โรคอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิดอาการหายใจไม่เต็มปอดได้ ได้แก่

  • โรคไตเรื้อรัง : การทำงานของไตที่ไม่ปกติสามารถทำให้เกิดการสะสมของของเหลวในร่างกาย ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและบวมที่ขาและข้อเท้า
  • โรคตับ : การทำงานของตับที่ไม่ปกติสามารถทำให้เกิดการสะสมของของเหลวในช่องท้องและปอด ส่งผลให้หายใจไม่อิ่มและท้องบวม
  • โรคไทรอยด์ : ภาวะไทรอยด์ทำงานเกินหรือขาดสามารถทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม และใจสั่น

อาการของการหายใจไม่เต็มปอด

อาการของการหายใจไม่เต็มปอดสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ เช่น

  • หายใจไม่สะดวก รู้สึกเหมือนอากาศไม่พอ
  • แน่นหน้าอก
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจเสียงหวีด
  • รู้สึกเหนื่อยง่าย
  • มีอาการจุกที่คอ หรือเจ็บหน้าอก

โรคความดันต่ำ เป็นภาวะที่ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด และอ่อนเพลีย โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสม

การวินิจฉัยการหายใจไม่เต็มปอด

การวินิจฉัยอาการหายใจไม่เต็มปอดเริ่มต้นจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยแพทย์อาจใช้วิธีการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

1. การเอกซเรย์ทรวงอก (CHEST X-RAY)

การเอกซเรย์ทรวงอกเป็นวิธีการตรวจที่ใช้รังสีเอกซ์เพื่อสร้างภาพของปอดและหัวใจ ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์เห็นภาพรวมของโครงสร้างภายในทรวงอก และตรวจหาความผิดปกติ เช่น ปอดบวม วัณโรค หรือมะเร็งปอด

2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจที่ใช้เครื่องมือวัดการทำงานของหัวใจ โดยการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในหัวใจ ซึ่งสามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือภาวะหัวใจล้มเหลว

3. การตรวจสมรรถภาพปอด (SPIROMETRY)

การตรวจสมรรถภาพปอดเป็นการวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า SPIROMETER ซึ่งสามารถช่วยระบุขอบเขตของปัญหาการหายใจของแต่ละบุคคลได้

4. การตรวจเลือด

การตรวจเลือดสามารถช่วยตรวจหาภาวะโลหิตจางและโรคอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการหายใจไม่เต็มปอด เช่น โรคโลหิตจาง โรคไตเรื้อรัง หรือโรคตับ

5. การตรวจสมรรถภาพหัวใจและปอด

การตรวจสมรรถภาพหัวใจและปอดเป็นการวัดปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายหายใจเข้าไปและปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่หายใจออกมา ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์ประเมินการทำงานของหัวใจและปอดได้อย่างละเอียด

วิธีการรักษาการหายใจไม่เต็มปอด

การรักษาอาการหายใจไม่เต็มปอดขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยมีวิธีการรักษาหลัก ๆ ดังนี้

การรักษาทางการแพทย์

  1. การใช้ยา : เช่น ยาขยายหลอดลมสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ยาแก้ปวดหรือคลายความกังวลบางชนิด
  2. การบำบัดด้วยออกซิเจน : เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด
  3. การผ่าตัด : ในกรณีที่มีสิ่งแปลกปลอมขัดขวางทางเดินหายใจหรือมีภาวะที่ต้องการการรักษาด้วยการผ่าตัด

การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม

  1. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ : เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของปอดและหัวใจ
  2. การฝึกการหายใจและเทคนิคการผ่อนคลาย : เพื่อคลายความวิตกกังวลที่อาจเป็นสาเหตุของอาการหายใจลำบาก
  3. การหลีกเลี่ยงสารระคายเคือง : เช่น สารเคมี ไอจากสีทาบ้าน หรือควันจากท่อไอเสียรถยนต์

การป้องกันการหายใจไม่เต็มปอด

การป้องกันการหายใจไม่เต็มปอด

การป้องกัน อาการหายใจไม่เต็มปอด สามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาที่แพทย์แนะนำ ซึ่งรวมไปถึงการรับประทานยา การออกกำลังกาย และการฝึกหายใจ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารระคายเคือง เช่น สารเคมี ไอจากสีทาบ้าน หรือควันจากท่อไอเสียรถยนต์
  • ฝึกการหายใจและเทคนิคการผ่อนคลาย
  • เลิกสูบบุหรี่
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • งดการออกไปนอกบ้านหรือตัวอาคารเมื่อค่ามลพิษทางอากาศสูงและเป็นอันตราย

สรุป

อาการหายใจไม่เต็มปอด เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยอื่น ๆ การวินิจฉัยและการรักษาอาการนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การป้องกันและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดอาการหายใจไม่เต็มปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพการหายใจไม่เต็มปอดไม่ควรถูกมองข้าม หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า