ปากนกกระจอก คือภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณมุมปาก สามารถเกิดได้ทุกระดับอายุ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ อาการที่เกิดขึ้นจะไม่ค่อยรุนแรงมาก และสามารถหายเองในระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน อย่างไรก็ตามควรระวังไม่ควรที่จะละเลยอาการนี้ เนื่องจากปากนกกระจอกสามารถแสดงถึงความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะความผิดปกติที่ริมฝีปากและสุขภาพในช่องปาก หากปล่อยไว้ไม่ดูแลรักษา ก็อาจนำมาซึ่งโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้
จมูกไม่ได้กลิ่นปากนกกระจอก มีสาเหตุมาจากอะไร
อาการปากนกกระจอกเกิดจากอะไร การอักเสบบริเวณมุมปาก มีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพปากหลายประการ บางปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดประกอบด้วย
- เชื้อราแคนดิดา : เป็นเชื้อราที่พบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ช่องปาก ช่องคลอด หรือผิวหนังบริเวณที่อับชื้น เชื้อรานี้สามารถทำให้เกิดโรคปากนกกระจอกได้ และเป็นเชื้อราที่เกี่ยวข้องกับโรคผื่นผ้าอ้อมในเด็ก
- น้ำลาย : คนที่ชอบเลียปากมักจะมีโอกาสเป็นโรคปากนกกระจอกมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากการเลียปากทำให้มุมปากแห้งแตก และเมื่อมีการเลียปากหรือมุมปากจะทำให้เกิดแผล ทำให้เป็นทางเข้าสำหรับการติดเชื้อ
- ติดเชื้อที่ปาก : เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอกบ่อย โดยหากมีการกระตุ้นจากแบคทีเรีย เชื้อรา หรือโรคเริม มุมปากจะเป็นที่ติดเชื้อและเกิดการอักเสบ
- มุมปากตก : เกิดจากริมฝีปากบนคร่อมริมฝีปากล่างมากเกินไปหรือผิวหนังรอบปากตกและห้อยลงมา ทำให้เกิดรอยย่นที่มุมปากลึก ส่งผลให้เกิดการหมักหมมของน้ำลายและเชื้อรา
- ปากแห้งแตก : เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปากนกกระจอก เมื่อปากมีอาการแห้งแตก มุมปากจะเป็นที่เสี่ยงที่จะเกิดโรค และหากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบ
- การจัดฟัน : การจัดฟันทำให้มีการใส่ยางที่มุมปาก เป็นทางเข้าที่เชื้อราและแบคทีเรียสามารถทำให้เกิดโรคปากนกกระจอกได้
- โรคอักเสบระบบทางเดินอาหาร : ผู้ป่วยที่เป็นโรคต่าง ๆ เช่น ลำไส้อักเสบ โรคโครห์น มีโอกาสเป็นโรคปากนกกระจอกมากกว่าคนทั่วไป
- ผิวแพ้ง่าย : คนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายมีโอกาสที่จะเป็นโรคปากนกกระจอกสูง
- ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ : ขาดวิตามินบี 2 หรือธาตุเหล็กสามารถทำให้เกิดโรคปากนกกระจอกได้
- โรคโลหิตจาง : ทำให้ภูมิต้านทานลดลง และเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคปากนกกระจอก
อาการของ ปากนกกระจอก
อาการปากนกกระจอกเริ่มต้นด้วยการระคายเคืองที่มุมปากในระยะแรก ซึ่งจะเป็นไปได้ทั้งสองข้างหรือที่ด้านใดก็ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น ๆ ต่อมาเกิดอาการปวดแสบที่มุมปาก และเจ็บปากได้ทั้งสองข้างหรือข้างเดียวก็ได้ ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันตามบุคคลแต่ละคน นอกจากการระคายเคืองแล้ว มีอาการอื่น ๆ ที่พบบ่อย เช่น
- มีรอยแดงและเลือดออกที่มุมปาก ทำให้แผลหายช้าขึ้นหากมีการเกาที่แผล ความคันและแสบที่มุมปากเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงที่อ้าปาก ทำให้เจ็บมากขึ้นเมื่อมีการอ้าปากและทานอาหาร
- มุมปากซีด เปื่อยยุ่ย เกิดจากเชื้อราที่เกาะอยู่ที่มุมปากพร้อมกับน้ำลายที่หมักหมมอยู่ การสะสมนานของเชื้อราจะทำให้มุมปากซีดและเปื่อยยุ่ย
- มีตุ่มพองใสที่มุมปาก ในกรณีที่อาการหนัก อาจมีแผลและเลือดไหลออกมา หรือเกิดสะเก็ดแผลที่มุมปาก สัญญาณเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ง่าย
- บวมบริเวณมุมปากเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่พบบ่อย แต่หากไม่รักษาอาจทำให้แผลติดเชื้อและเสี่ยงต่อการบวมเพิ่มขึ้น จึงควรรับการรักษาจากแพทย์เพื่อป้องกันการลุกลามของอาการต่อไป
การวินิจฉัยปากนกกระจอก
ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคปากนกกระจอกจะถูกตรวจโดยแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรค แพทย์จะตรวจสอบปากของผู้ป่วยเพื่อหาสัญญาณที่บอกถึงการติดเชื้อ โดยการสังเกตว่ามีสะเก็ด รอยแดง อาการบวม หรือตุ่มพองที่ปากหรือไม่ และทำการสอบถามเกี่ยวกับอาการและพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคปากนกกระจอกได้
อย่างไรก็ตามการเจ็บปวดและอักเสบที่มุมปากอาจไม่ได้เกิดจากโรคปากนกกระจอกเท่านั้น แต่ยังอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคเริมที่ริมฝีปาก หรือโรคไลเคนพลานัส (LICHEN PLANUS) ดังนั้นแพทย์อาจจะทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากมุมปากและจมูกของผู้ป่วยเพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อทำความเข้าใจถึงว่าอาการเจ็บปวดมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราชนิดใด
หากเป็นโรคปากนกกระจอก ผลการตรวจของตัวอย่างสารคัดหลั่งมักแสดงให้เห็นถึงการติดเชื้อราแคนดิดา เชื้อสเตปฟิโลค็อกคัส ออเรียส (STAPHYLOCOCCUS AUREUS) หรือเชื้อไวรัสโรคเริม (HERPES SIMPLEX)
การรักษาปากนกกระจอก
การรักษาโรคปากนกกระจอกสามารถทำได้โดยการรักษาทั้งบริเวณที่ติดเชื้อและการดูแลบริเวณที่แห้งและแตกไม่ให้เกิดการติดเชื้ออีก นอกจากนี้ยังมีการให้ยาเพื่อรักษาอาการตามประเภทของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก ซึ่งรวมถึงการใช้ยาต้านเชื้อราและต้านแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังมีวิธีดูแลรักษาเสริมเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้
การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา
1. ไมโคนาโซล (MICONAZOLE)
- ใช้รักษาเชื้อราแคนดิดาและเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก (GRAM-POSITIVE COCCI)
- ทาครีมไมโคนาโซลตรงมุมปากที่เป็นจุดติดเชื้อ 2 ครั้งต่อวัน
- ห้ามใช้ร่วมกับยาวาร์ฟาริน (WARFARIN) เนื่องจากอาจทำให้เกิดการต้านฤทธิ์กัน
2. ไนสแตนดิน (NYSTATIN)
- รับประทานเพื่อรักษาการติดเชื้อราที่ปากหรือในทางเดินอาหาร
- ใช้ยา 4 ครั้งต่อวัน อมไว้ปาก 5-10 นาทีก่อนกลืน
- ทารกควรงดน้ำและอาหารหลังใช้ยา 5-10 นาที
3. โคลไตรมาโซล (CLOTRIMAZOLE)
- ใช้รักษาโรคเชื้อราที่ผิวหนัง เช่น น้ำกัดเท้า และกลาก
- ส่งผลต่อเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อราให้สลายลง
4. คีโตโคนาโซล (KETOCONAZOLE)
- ใช้ขัดขวางการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อรา
- ใช้ในกรณีที่ยาต้านเชื้ออื่นไม่ได้ผล
การรักษาด้วยยาต้านแบคทีเรีย
1. มิวพิโรซิน (MUPIROCIN)
- ใช้รักษาการติดเชื้อที่ผิวหนัง
- ยับยั้งการผลิตโปรตีนที่ใช้เลี้ยงแบคทีเรีย
- ใช้ในผู้ป่วยโรคปากนกกระจอกที่ติดเชื้อจากโรคพุพอง
2. กรดฟูซิดิก (FUSIDIC ACID)
- ใช้ทาภายนอกเพื่อรักษาการติดเชื้อผิวหนัง
- ใช้รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ และผู้ป่วยปากนกกระจอกที่ติดเชื้อแบคทีเรีย
การดูแลรักษาเสริม
- น้ำยาฆ่าเชื้อ (ANTISEPTICS) : ใช้ล้างแผลบริเวณที่เสียหาย
- ยาสเตียรอยด์ชนิดทา : ใช้ต้านอาการอักเสบของผิวหนัง
- ผลิตภัณฑ์บำรุงความชุ่มชื้น : ช่วยบำรุงปากแห้งและรักษาระคายเคืองผิวหนัง
- อาหารเสริม : ในกรณีขาดสารอาหาร
การรักษาโรคปากนกกระจอกไม่เพียงแต่ต้องได้รับการรักษาทางยา เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และเน้นการดูแลสุขภาพทั่วไปอีกด้วย และถ้าหากคุณปวดฟันกราม ก็ควรรักษา หรือปรึกษากับเราได้
ดูแลและป้องกันตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นปากนกกระจอก
การดูแลและป้องกันโรคปากนกกระจอกเริ่มต้นจากการรักษาและดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นไปอย่างเหมาะสม นี้คือวิธีที่สามารถทำได้
- หลีกเลี่ยงการกัดหรือเลียริมฝีปากเมื่อปากแห้งหรือแตก : หลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปากที่แห้งหรือแตกสามารถทำให้เลือดออกและแผลหายได้ช้า นอกจากนี้ การเลียริมฝีปากยังทำให้ปากแห้งมากขึ้นเนื่องจากน้ำลายที่เลียริมปากจะล้างความชุ่มชื้นของผิวหนังออกไป ทำให้ปากแห้งกว่าเดิม
- ใช้ลิปบาล์มที่ผสมเจลหรือขี้ผึ้ง : ทาลิปบาล์มเป็นประจำเมื่อเกิดอาการปากแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง
- ดูแลฟันปลอมอย่างสม่ำเสมอ : ผู้ที่ใส่ฟันปลอมควรทำความสะอาดฟันปลอมอยู่เสมอ และควรงดการใส่ฟันปลอมขณะนอนหลับ
- รักษาความสะอาดช่องปากในผู้ป่วยโรคเชื้อรา : ผู้ป่วยที่มีโรคเชื้อราในช่องปากควรรักษาความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอและรับการรักษาเมื่อมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคเบาหวาน เพื่อป้องกันการแย่ลงของโรค
- งดสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่สามารถทำให้ปากแห้งและเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคปากนกกระจอก ดังนั้นควรงดสูบบุหรี่เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น
สรุป
โรคปากนกกระจอกมักจะไม่ร้ายแรงและมักหายไปภายในสองสัปดาห์หลังจากเริ่มการรักษา อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษาทันที โรคนี้อาจทำให้เกิดแผลที่ปาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ การดูแลรักษาโรคปากนกกระจอกเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการกลับมาระบาดของโรคหรืออาการที่รุนแรงขึ้นในครั้งต่อไป การรักษาควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และควรตรวจสอบโรคปากนกกระจอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบว่าโรคมีการกลับมาระบาดหรือไม่ และหากใครที่จมูกไม่ได้กลิ่นก็ควรปรึกษาแพทย์ได้
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย