ท้องลมคืออะไร ใช่ท้องหรือไม่ สัญญาณเตือน ตอนตั้งครรภ์ต้องรู้

ท้องลมคืออะไร

ท้องลมคืออะไร ภาวะท้องลม หรือที่เรียกว่า “Blighted Ovum” เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ซึ่งตัวอ่อนไม่ได้พัฒนาต่อไป แต่รกยังคงเจริญเติบโต เมื่อตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์) จะพบถุงน้ำคร่ำหรือถุงรก แต่ไม่พบตัวอ่อน ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิง หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

มักเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่สามารถป้องกันได้ ทุกช่วงอายุของผู้หญิงมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้ แต่โอกาสจะสูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น สตรีที่วางแผนตั้งครรภ์ควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะท้องลม รวมถึงอาการและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อการวางแผนและติดตามสุขภาพการตั้งครรภ์ได้อย่างเหมาะสม

ทำความรู้จัก ท้องลมคืออะไร ?

ท้องลม คือ ภาวะที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ผิดปกติ มีอาการคล้ายกับการตั้งครรภ์ปกติ เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และอาเจียน แต่แตกต่างตรงที่ไม่มีทารกในมดลูกหรือทารกเสียชีวิตตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ เมื่อตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง จะพบเพียงถุงรองรับการตั้งครรภ์ แต่ไม่พบทารก ท้องลมสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย และไม่สามารถป้องกันได้

เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่น ๆ ตามธรรมชาติ โดยโอกาสเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุของผู้หญิง สำหรับผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับท้องลม รวมถึงอาการและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมและสามารถติดตามสุขภาพการตั้งครรภ์ได้อย่างใกล้ชิด

สาเหตุที่ทำให้เกิดท้องลม

สาเหตุที่ทำให้เกิดท้องลม

อาการท้องลม สาเหตุหลักยังไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 45-50 เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อน ทำให้ตัวอ่อนไม่แข็งแรงพอที่จะเจริญเติบโตเป็นทารกตามปกติ จึงสลายตัวทิ้งเหลือเพียงถุงรังไข่ เมื่อร่างกายตรวจพบความผิดปกติของการตั้งครรภ์และตัวอ่อนไม่พัฒนา ก็จะขับเลือดและเนื้อเยื่อออกทางช่องคลอด ทำให้เกิดอาการเลือดออกผิดปกติ หากเกิดอาการดังกล่าว ผู้ตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด

ผลตรวจการตั้งครรภ์ ท้องลมทำไมจึงเป็นบวก ?

การ ตรวจการตั้งครรภ์ สามารถทำได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การตรวจโดยใช้ปัสสาวะ, การตรวจโดยใช้เลือด, การตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวนด์ สองวิธีแรกจะใช้ในการตรวจหาฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งชี้การตั้งครรภ์ HCG จะถูกสร้างขึ้นจากรกหลังจากไข่และอสุจิผสมพันธุ์กัน และตัวอ่อนได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกนานประมาณ 6 วันแล้ว

ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ระดับ HCG จะมีค่าต่ำ แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเรื่อย ๆ หากผลการตรวจพบระดับ HCG ในปริมาณที่เหมาะสม จะบ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ตามปกติ ส่วนการตรวจท้องลมคืออะไรด้วยวิธีอัลตราซาวนด์นั้น จะสามารถพบถุงที่บรรจุตัวอ่อนได้เช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ปกติ แต่จะไม่พบตัวอ่อนอยู่ภายในถุงนั้น

อาการของคุณแม่ที่มีภาวะท้องลม

ในกรณีที่เกิดความผิดปกติในการตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีอาการคล้ายกับการตั้งครรภ์ปกติในระยะแรก แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการผิดปกติจะเริ่มปรากฏ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดท้องน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของภาวะตั้งครรภ์ผิดปกติ การเป็นไปให้ เลือดออกในกระเพาะอาหาร เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและหาสาเหตุให้และตรวจสอบโดยแพทย์อย่างเร็วที่สุด เพื่อป้องกันและรักษาปัญหาทางสุขภาพให้ได้ดีที่สุด

หาก ผู้หญิงตั้งครรภ์ ไปพบแพทย์และได้รับการตรวจร่างกาย แพทย์จะสามารถวินิจฉัยภาวะดังกล่าว ในกรณีนี้ การตั้งครรภ์จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างปกติ ถุงน้ำคร่ำอาจหลุดออกมาเองหรืออาจต้องยุติการตั้งครรภ์โดยการทำแท้งตามคำแนะนำของแพทย์

เกณฑ์การวินิจฉัยคุณแม่ที่มีภาวะท้องลม

เกณฑ์การวินิจฉัยคุณแม่ที่มีภาวะท้องลม

ในการวินิจฉัย ภาวะท้องลมคืออะไร แพทย์จะทำการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือที่เรียกว่าการตรวจอัลตราซาวด์ โดยจะพบถุงการตั้งครรภ์อยู่ แต่จะไม่พบตัวทารกภายในถุงนั้น หากตรวจในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ อาจต้องแยกจากการตั้งครรภ์ปกติที่ยังไม่สามารถมองเห็นทารกได้ ดังนั้นแพทย์อาจต้องตรวจอัลตราซาวด์หลายครั้งเพื่อเปรียบเทียบขนาดของถุงและตัวทารก ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภาวะท้องลมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป สิ่งสำคัญคือคุณแม่ต้องดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง ปราศจากความเครียดและความวิตกกังวล เพราะจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้สำเร็จในครั้งต่อไป

ภาวะท้องลมป้องกันได้หรือไม่ ?

หากเป็นการตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ โอกาสที่จะเกิด ภาวะท้องลม นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมของคู่สมรส ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การศึกษาพบว่า มีโอกาสที่คู่สมรสอาจถ่ายทอดความผิดปกติทางพันธุกรรมให้กับทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในกรณีของผู้หญิง ความเสี่ยงจะสูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพของไข่อาจลดลง นอกจากนี้ หากผู้หญิงเคยมีประวัติท้องลมมาก่อน ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน หากต้องการลดความเสี่ยงหรือป้องกันไม่ให้เกิดภาวะท้องลม การตรวจสุขภาพและปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ภาวะท้องลม เคยเป็นแล้วกลับมาเป็นอีกได้ไหม ?

ท้องลมคืออะไร ภาวะท้องลมสามารถเกิดซ้ำได้ และมีโอกาสเกิดบ่อยขึ้นในผู้หญิงตั้งครรภ์ในวัยสูงอายุ หากเกิดภาวะท้องลมบ่อยครั้ง อาจไม่ใช่เพราะความผิดปกติของตัวอ่อนตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นเพราะคู่สมรสคนใดคนหนึ่งถ่ายทอดความผิดปกติทางพันธุกรรมไปยังตัวอ่อน สำหรับผู้หญิงที่ท้องลมตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป จำเป็นต้องมีการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ท้องลมเมื่อเป็นแล้ว ต้องขูดมดลูกไหม ?

การ รักษาภาวะท้องลม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ดังนี้

  • กรณีที่ร่างกายสามารถขับถุงครรภ์ออกมาได้หมดโดยไม่มีเหลือค้าง และไม่เกิดอาการแทรกซ้อนที่อันตราย จะไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการขูดมดลูก
  • กรณีที่ร่างกายไม่สามารถขับถุงครรภ์ออกมาได้หมด และมีเยื่อบุโพรงครรภ์หรือชิ้นเนื้อตกค้างอยู่ภายในมดลูก จะต้องรับการรักษาด้วยการขูดมดลูกเพื่อนำเยื่อบุหรือชิ้นเนื้อที่ตกค้างออกมา ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นภายในมดลูกได้

การรักษาเมื่อเกิดภาวะท้องลม

การรักษาเมื่อเกิดภาวะท้องลม

ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์หลายคนมักพบปัญหาเลือดออกผิดปกติ หรือที่เรียกว่า “แท้งคุกคาม” อย่างไรก็ตาม บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่าเป็นปัญหาหรือเป็นเพียงอาการปกติในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากการตรวจอัลตราซาวด์อาจแสดงเพียงถุงครรภ์เท่านั้น โดยไม่สามารถมองเห็นทารกในครรภ์ได้ในบางครั้ง เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำ แพทย์จำเป็นต้องติดตามผลการตรวจอัลตราซาวด์อีกครั้งหลังจากครั้งแรกประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อดูว่าทารกมีการเจริญเติบโตหรือไม่ ซึ่งจะช่วยยืนยันได้ว่าการตั้งครรภ์นั้นปกติหรือมีปัญหา หากมีอาการ คลื่นไส้หลังทานอาหาร ควรระมัดระวังและตรวจสอบประเภทของอาหารที่บริโภค เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอาการคลื่นไส้ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีคุณภาพและสมดุล รวมทั้งพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อสุขภาพของท้องอยู่ในสภาพที่ดี

สรุป

ท้องลมคืออะไร ภาวะท้องลม หรือการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสร้างรกและถุงครรภ์ แต่ไม่มีการพัฒนาของทารกในครรภ์ เมื่อตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง จะพบว่ามีเพียงถุงครรภ์เปล่า ๆ โดยไม่พบร่องรอยของทารก ผู้หญิงทุกวัยสามารถประสบกับภาวะนี้ได้ โดยความเสี่ยงขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมของทั้งคู่สามีภรรยา ความเสี่ยงจะสูงขึ้นตามอายุของมารดาและประวัติการตั้งครรภ์ในอดีต นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมของบิดาด้วย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า