ไขมันหน้าท้อง หรือ ไขมันในช่องท้อง อันตรายที่สุด แม้น้ำหนักตัวจะพอดี แต่ก็ไม่ได้การันตีว่า คุณจะไม่อ้วน ถ้าคุณมีภาวะไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป ไขมันเหล่านี้จะส่งผลอันตรายต่ออวัยวะ เพราะไขมันในช่องท้องสามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมที่อวัยวะต่างๆ ได้ ซึ่งไขมันลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะส่งผลโดยตรงต่ออวัยวะส่วนไหน และควรจะต้องระวังอย่างไรบ้าง ไปร่วมรู้คำตอบกันดีกว่า
ไขมันหน้าท้อง คืออะไร ?
ไขมันหน้าท้อง เกิดจากการกินอาหารที่มีปริมาณไขมันสูงกว่าที่ร่างกายจำเป็น หรือกินในปริมาณมากเกินกว่าการใช้พลังงาน มันจะเกิดเป็นการสะสมไขมันในตัวเนื้อตับและก็เยื่อบุช่องท้อง แล้วแต่ละชั้นของช่องท้องทำให้เกิดผนังไขมันที่หนาตัวขึ้น จนทำให้ พุงป่อง พุงยื่น ออกมาภายนอกอย่างเห็นได้ชัด!
ไขมันแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท 3 ตำแหน่งหลัก ๆ
1. ไขมันในหลอดเลือด
ซึ่งทุกคนคงได้ยินกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว ถ้าแบ่งเป็นชนิดง่าย ๆ ก็คือ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
คอเลสเตอรอลก็จะแบ่งออกเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายที่มักเรียกว่า LDL ไขมันที่เรียกว่าเป็นไขมันตัวร้าย นั้นถ้ามีมากขึ้นในร่างกายมันก็จะไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้เกิดโรคสมองหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ ไขมันอีกชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า HDL หรือไขมันชนิดที่ดีถ้าเกิดมีมากในร่างกายเขาจะไปจับไขมันที่ไม่ดีต่าง ๆ แล้วพาไปทำลายที่ตับโดยที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหรือโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยลง
2.ไขมันใต้ผิวหนัง
ไขมันชนิดนี้มาจากการสะสมของร่างกายเพื่อเก็บไว้เป็นพลังงาน ไขมันชนิดนี้อาจจะไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่นักแต่อาจจะมีปัญหาของเรื่องความสวยงาม ซึ่งไขมันชั้นนี้สามารถลดได้ด้วยการควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย หรือสามารถลดไขมันหน้าท้องด้วยการดูดไขมัน เป็นอีกทางเลือก ซึ่งมีความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ชัดเจน เห็นผลไวได้
3.ไขมันช่องท้อง (visceral fat)
ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการสะสมของไขมันที่ได้จากการรับประทานอาหารประเภทไขมันเมากเกินไป และเปาพลาญไม่หมด ไขมันเหล่านี้เมื่อถูกสะสมในช่องท้องเป็นเวลานาน นอกจากจะส่งผลต่อรูปร่งภายนอกที่ดูไม่สวยงามแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพภายในร่างกายอีกด้วย
การลดไขมันช่องท้องนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร วิธีที่ช่วยลดไขมันช่องท้องคทอ การออกกำลังกายและควบคุมอาหารเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถดูดไขมันส่วนนี้ออกได้ เนื่องจากไขมันในช่องท้องนั้นจะอยู่ติดกับอวัยวะต่างๆ หากดูดไขมันอาจทำให้เกิดอัยตรายได้
ไขมันหน้าท้อง - ไขมันช่องท้อง เกิดจากอะไร ?
ประเด็นแรกของการมีไขมันช่องท้องนั้นเริ่มจากฮอร์โมนที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายตัวแต่หนึ่งตัวสำคัญก็คือ Sex Hormone หลายคนอาจมองว่าไม่น่าจะโยงถึงเรื่องเพศได้ ซึ้งสามารถโยงได้เพราเป็นการบ่งบอกของเพศไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายในฮอร์โมนเพศชายจะเรียกว่า ‘ เทสโทสเตอโรน ‘ ส่วนของผู้หญิงจะเรียกว่า ‘ เอสโตรเจน ‘
ฮอร์โมนเพศชาย
ต้องบอกเลยว่าเทสโทสเตอโรนหรือฮอร์โมนเพศชายมีผลต่อการสะสมไขมันอยู่เยอะมากเรื่องของไขมันที่อยู่ในช่องท้องก็สำคัญด้วยเช่นกัน ในช่วงที่มีเทสโทสเตอโรนหรือฮอร์โมนเพศชายที่อยู่ในระดับเหมาะสมการสะสมตัวไขมันที่พอกอยู่ในช่องท้องก็มีอยู่ในระดับที่เหมาะสมตาม
แต่พออายุที่มากขึ้นก็จะพบปัญหาของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนตกตามวัย โดยเฉพาะ 45 ปีขึ้นไปจะพบว่าการสะสมของไขมันที่อยู่ในช่องท้องมีมากขึ้น
ในปัจจุบันก็พบว่าไม่ใช่แค่ 45 ปีที่พบการสะสมของไขมันแต่น้อยกว่า 45 ปีก็สามารถพบเจอว่ามีไขมันสะสมในช่องท้องมากขึ้น เหตุผลเพราะมีการจัดการหรือมีการกินอาหารรวมถึงการผจญกับสิ่งบางอย่างที่ไปลดการสร้างเทสโทสเตอโรนเร็วเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น
ฮอร์โมนเพศหญิง
สำหรับผู้หญิงก็จะมีฮอร์โมนที่เรียกว่าเอสโตรเจน นอกจากจะผลิตมาจากรังไข่ที่ช่วยให้การเจริญเติบโตนั้นเป็นไปตามวัย
ซึ่งระดับของเอสโตรเจนจะสิ้นสุดลงเมื่ออายุ 45-51 ปี หรือวัยหมดประจำเดือน อาจก่อให้เกิดไขมันสะสมในช่องท้องได้เช่นกัน
ทั้งนี้โอกาสของฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลงปัจจุบันนี้ไม่ต้องรอหมดประจำเดือนก็ลดต่ำได้เนื่องจาก ความเครียด การเลือกอาหารการกิน ในแบบที่คล้าย ๆ กันกับฮอร์โมนเพศชายนั่นเอง
ไขมันหน้าท้อง - ไขมันในช่องท้อง มีลักษณะอย่างไร ?
กรณีการผ่าตัดเข้าไปสิ่งที่จะเจอเลยคือพบว่าตับมีขนาดใหญ่และมีไขมันไปพอกอยู่ปริมาณไขมันที่อยู่ในช่องท้องนั้นก็จะเยอะเรียกได้ว่าคล้าย ๆ เหมือนกับเป็นทะเลของไขมันในช่องท้อง
บทความน่าสนใจ ที่เกี่ยวข้อง
ดูดไขมันหน้าท้องอันตรายของ ไขมันหน้าท้อง / ไขมันในช่องท้อง
ไขมันในช่องท้อง บอกโรค .. แค่อ้วนลงพุงก็ไม่เห็นจะมีอะไรแต่จริง ๆ แล้วมันกำลังจะบอกเรา ที่สำคัญการเกิดอัมพฤกษ์อัมพาตการเกิดหัวใจล้มเหลวมันจะมาในไม่ช้านี้ ดังนั้นเราไม่ควรละเลยคิดว่ามันเป็นแค่เพียงความอ้วนธรรมดา
ความร้ายของ ไขมันที่สะสมอยู่ในช่องท้อง เนื่องจากว่าตัวมันสามารถสลายและเข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งมันก็จะไปเกาะอยู่ตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะส่วนสำคัญมีดังนี้
- สมอง ไขมันจะไปสะสมตามผนังเส้นเลือดขัดขวางการไหลเวียนส่งผลให้หลอดเลือดในสมองตีบอาจเสียชีวิตกะทันหันได้
- ปอด ไขมันช่องท้องที่เพิ่มขึ้นหากปอดขยายตัวไม่เต็มที่ทำให้หายใจผิดปกตินำไปสู่การหยุดหายใจขณะหลับได้
- หัวใจ ส่งผลให้ไขมันไปอุดตันเส้นเลือดทำให้หัวใจทำงานหนักส่งผลให้หัวใจวายได้
- ตับ ไขมันในช่องท้องขัดขวางการเผาผลาญน้ำตาลกับจึงต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเบาหวาน
- ถุงน้ำดี ไขมันในช่องท้อง จะทำให้ถุงน้ำดีมีความข้นมีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย
- หัวเข่า ไขมันในช่องท้องทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มหัวเข่าต้องรับน้ำหนักมากขึ้นส่งผลให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้นั่นเอง
ดังนั้นแล้วการกินอาหารประเภทไขมันเข้าไปมากๆ จะทำให้เกิดการใช้ตัวของฮอร์โมนเยอะจึงส่งผลต่อฮอร์โมนที่ตกเร็วจึงไม่แปลกใจที่ว่าทำไมคนที่มีการกินอาหารหวานจะทำให้เกิดการสะสมเรื่องของไขมันที่อยู่ในช่องท้องเยอะมาก
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งก็คือถ้าต้องการที่จะลดไขมันที่อยู่ในช่องท้องสิ่งที่จะต้องทำก็คือเพิ่มหรือบูสต์การทำงานของตัวฮอร์โมนที่ขึ้นมาใหม่โดยการลดการพยายามห้างอาหารที่เป็นแป้งน้ำตาลของหวาน
บทความน่าสนใจ ที่เกี่ยวข้อง
“ไขมันในช่องท้อง” อันตรายจากการมีไขมันสะสมจำนวนมาก เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?
ไขมันหน้าท้อง เกิดจาก Sex Hormone ตกต่ำลงจากความเครียด
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Sex Hormone ลดต่ำลง ทว่าต้องการที่จะจัดการเรื่องของตัว ไขมันช่องท้อง ก็คือหลีกเลี่ยงความเครียด และการนอนหลับพักผ่อน โดยเฉพาะหากใครที่มีความเครียดสะสมมาก ๆ ก็มีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนไปด้วย ยิ่งการนอนหลับพักผ่อนไม่เป็นไปตามที่ร่างกายกำหนด โอกาสเกิดไขมันในช่องท้องก็มากขึ้นตามไปด้วย
คาเฟอีน กับ การเกิด ไขมันหน้าท้อง - ไขมันในช่องท้อง
นอกจากเรื่องของความเครียดที่สะสมแล้ว อาหารบางอย่างที่ไปเพิ่มเรื่องให้ร่างกายเกิดการนอนหลับนั้นไม่เพียงพอก็ต้องพยายามที่จะลดด้วยเช่นเดียวกัน ในกลุ่มของคาเฟอีนไม่ว่าจะเป็น กาแฟ เครื่องดื่มกาเฟอีนทุกชนิดพยายามกินให้อยู่่ในระดับต่ำหรือพอเหมาะใน 1 วันไม่ควรเกิน 2 แก้วสำหรับกาแฟ เพราะเวลาที่ Sex Hormone ตกก็จะทำให้เกิดการสะสมเรื่องของไขมันที่อยู่ในช่องท้องที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
วิธีวัดไขมันหน้าท้อง หรือการคำนวณไขมันในช่องท้อง
เราจะทราบได้ยังไงว่าเรามีไขมันชนิดนี้เยอะในร่างกาย วิธีก็คือ การวัดเส้นรอบพุง โดยวัดจากตำแหน่งที่กว้างที่สุดผ่านสะดือนำไปเปรียบเทียบกับความสูงและหารด้วยสอง
ถ้าเกิดเมื่อไหร่ที่เส้นรอบพุงมากกว่าส่วนสูงหารสองแปลว่าเริ่มที่จะมีภาวะอ้วนลงพุงหรือไขมันช่องท้อง ผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร ผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร ดังนั้นคนที่มองว่ามีน้ำหนักตัวน้อย แค่ความจริงแล้วเขาอาจมีภาวะอ้วนลงพุงซ่อนอยู่ก็ได้
ไขมันในช่องท้อง การดูดไขมันช่วยได้ไหม
การดูดไขมัน หมายถึง การกำจัดไขัมนส่วนเกินตามส่วนตามๆ ของร่างกายออกไป โดยสามารถทำได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น ดูดไขมันหน้าท้อง , ดูดไขมันรอบเอว, ดูดไขมันต้นแขน และ ดูดไขมันต้นขา เป็นต้น
แต่การดูดไขมันหน้าท้องนั้นมีข้อจำกัดคือ สามารถดูดไขมันชั้นตื้น หรือไขมันชั้นใต้ผิวหนัง เท่านั้น ไม่นิไม่สามารถดูดไขมันในช่องท้องที่อยู่ติดหรือเกาะตามอวัยวะต่างๆ ได้ ไม่นิยมทำเพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ ได้
คำถามอื่นๆ เกี่ยวกับการลด ไขมันหน้าท้อง
- สารสกัดในลิ้นจี่สามารถลดไขมันในช่องท้องได้จริงหรือ
จากการวิจัยของแพทย์ประเทศญี่ปุ่นเผยว่า Oligonol หรือสารสกัดในลิ้นจี่สามารถลดไขมันในช่องท้องได้ หลังจากมีการพบปริมาณไขมันในช่องท้องของอาสาสมัครที่ได้รับ Oligonol นั้นลดลงกว่า 15- 30% ในช่วงระยะเวลา 10 สัปดาห์
ทั้งนี้เหตุผลที่ว่าทำไมลิ้นจี่ (Oligonol) ถึงมีกลไกในการลดไขมันในช่องท้อง มีดังนี้
- ช่วยลดการดูดซึมไตรกลีเซอไรด์จากอาหาร
- ช่วยเร่งการเผาผลาญในระดับเซลล์
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหัวใจและหลอกเลือด
ดังนั้นแล้วก็จะเห็นได้ว่าการจะลดไขมันในช่องท้องนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเป็นหลัก เลือกการดูแลตัวเอง มอบสิ่งที่ดีให้กับร่างกายยังไงไขมันช่องท้องก็ไม่มากวนใจแน่นอน
- การใช้ยาลดไขมันในช่องท้อง
ยาบางชนิดเช่น metformin สำหรับเบาหวานและยากลุ่ม liraglutide สำหรับรักษาเบาหวานและโรคอ้วน ดูเหมือนจะลดภาพะเสี่ยงจากไขมันช่องท้องได้พอสมควร ลองปรึกษาแพทย์เฉพาะทางดู
ดังนั้นแล้วก็จะเห็นได้ว่าการจะลดไขมันในช่องท้องนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเป็นหลัก เลือกการดูแลตัวเอง มอบสิ่งที่ดีให้กับร่างกายยังไงไขมันช่องท้องก็ไม่มากวนใจแน่นอน
Reference : Jun Nishihira, Maremi Sato-Ueshima, Kentaro Kitadate, Koji Wakame Hajime Fujii, Amelioration of abdominal obesity by low-molecular-weight polyphenol (Oligonol) from lychee, Journal of Functional Foods I (2009) 34I-348
อ่านเพิ่มเติมบทความเชิงลึก
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography