ยาโรคซึมเศร้า ยารักษาโรคซึมเศร้า หรือยาต้านเศร้า : โรคซึมเศร้านั้นหากได้รับการรักษาผู้ที่เป็นจะอาการดีขึ้นมาก อาการซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยๆ หรือรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ จะกลับมาดีขึ้นจนผู้ที่เป็นบางคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทำใมจึงรู้สึกเศร้าไปได้ถึงขนาดนั้น สิ่งสำคัญคือโรคซึมเศร้าถ้าได้รับการรักษาจนหายดีแล้วก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ยิ่งหากมารับการรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะอาการดีขึ้นเร็วเท่านั้น ยิ่งป่วยมานานก็ยิ่งจะรักษายาก
การรักษาที่สำคัญในโรคนี้คือการรักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้า
โดยเฉพาะในรายที่อาการมาก ส่วนในรายที่มีอาการไม่มาก แพทย์อาจรักษาด้วยการช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่างๆ ในมุมมองใหม่ แนวทางในการปรับตัว หรือการหาสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง ร่วมกับการให้ยาแก้ซึมเศร้าหรือยาคลายกังวลเสริมในช่วงที่เห็นว่าจำเป็น
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาด้วย ยาโรคซึมเศร้า
- อาการของโรคซึมเศร้า ไม่ได้หายทันทีที่กินยา โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ขึ้นไปอาการจึงจะดีขึ้นอย่างเห็นชัด
- ยาโรคซึมเศร้า มีส่วนช่วยในระยะแรกๆ โดยทำให้ผู้ป่วย หลับได้ดีขึ้น เจริญอาหารขึ้น เริ่มรู้สึกมีเรี่ยวแรงจะทำอะไรมากขึ้น ความรู้สึกกลัดกลุ้มหรือกระสับกระส่ายจะเริ่มลดลง
- ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า บางคนไม่กล้ากินยามากตามที่แพทย์สั่ง แพทย์สั่งกิน 4 เม็ดก็กินแค่ 2 เม็ด หรือกินบ้างหยุดกินบ้าง เพราะกลัวว่าจะติดยา หรือกลัวว่ายาจะไปสะสมอยู่ในร่างกาย แต่ตามจริงแล้ว ยารักษาโรคซึมเศร้าไม่มีการติดยา ถ้าขาดยาแล้วมีอาการไม่สบาย นั่นเป็นเพราะว่ายังไม่หายจากอาการของโรค การกินๆ หยุดๆ หรือกินไม่ครบขนาดกลับจะยิ่งทำให้การรักษาไม่ได้ผลดี และรักษายากมากขึ้น
- จากการศึกษาไม่พบว่า ยารักษาโรคซึมเศร้า ตัวไหนดีกว่าตัวไหนอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยคนไหนจะถูกกับยาตัวไหนเป็นเรื่องเฉพาะตัว ซึ่งโดยรวมแล้วก็มักจะรักษาได้ผลทุกตัว
ชนิดของยาต้านเศร้า - ยาโรคซึมเศร้า
ในปัจจุบัน ยารักษาโรคซึมเศร้า แบ่งออกได้หลายกลุ่ม ตามลักษณะโครงสร้างทางเคมีและวิธีการออกฤทธิ์ คือ
- กลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants: TCAs)
- กลุ่มเอ็มเอโอไอ (Monoamine oxidase inhibitors: MAOI)
- กลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (Serotonin-specific reuptake inhibitor: SSRI)
ซึ่ง ยารักษาโรคซึมเศร้า แต่ละกลุ่มมีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ประสิทธิภาพการรักษาเท่าเทียมกัน โดยยารักษาโรคซึมเศร้านั้น จะออกฤทธิ์โดยไปปรับระดับสารเคมีในสมองให้เกิดความสมดุลย์ เป็นการรักษาโรคโดยตรง ไม่ใช่แค่ยาที่ทำให้ง่วงหลับ
ยากลุ่มที่ใช้ปัจจุบันกันมากคือยากลุ่ม SSRI ซึ่งกลไกสำคัญคือจะไปยับยั้งการดูดซึมซีโรโตนินกลับเข้าเซลล์ (serotonin reuptake inhibitor: SSRI) ทำให้ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นบริเวณส่วนต่อระหว่างเซลล์ประสาท ยาขนานที่ปัจจุบันใช้เป็นยาขนานแรกในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้แก่ยา ฟลูออกซิทีน (fluoxetine) และเซอร์ทราลีน (sertraline)
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่ มักต้องการหยุดกินยาเร็วกว่าที่ควรเป็น เพราะกลัวว่าหากกินไปนานๆ จะทำให้เกิดการติดยา แต่ข้อสำคัญและควรปฏิบัติที่สุดก็คือ การกินยาอย่างต่อเนื่อง จนกว่าแพทย์จะบอกให้ท่านหยุด ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดึขึ้นแล้วก็ตาม
ยาบางตัวต้องค่อยๆ ลดขนาดลง เพื่อให้โอกาสร่างกายปรับตัว ไม่ต้องกังวลว่า ยารักษาโรคซึมเศร้าเป็นยาที่กินแล้วติดหยุดยาไม่ได้ และควรถามแพทย์ทุกครั้งที่ท่านมีปัญหาที่เกิดจากยา หรือเกิดปัญหาที่คิดว่าอาจเกิดจากยา
ยาต้านเศร้า หรือ ยาโรคซึมเศร้า สามารถซื้อมากินเองได้หรือไม่? ซื้อที่ไหน?
การซื้อ ยาโรคซึมเศร้า มากินเองจากร้านขายยา ยืมยาจากเพื่อน หรือกินยาจากแพทย์ท่านอื่นปนกับยาโรคซึมเศร้า โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้ รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะไปลดประสิทธิภาพของยาลงเช่นเดียวกัน
ผลข้างเคียงจากยาต้านเศร้า ยาโรคซึมเศร้า
ยารักษาโรคซึมเศร้ามีผลข้างเคียงอยู่บ้างกับผู้ใช้บางคนอันอาจก่อความรำคาญ แต่ไม่อันตราย อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สึกว่ามีผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น กรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ผลข้างเคียงต่อไปนี้มักเกิดจากยาแก้ซึมเศร้ากลุ่มเก่า ซึ่งเดิมทีจะใช้กันบ่อยได้แก่ amitriptyline และ nortriptyline
- ปากแห้งคอแห้ง
- ท้องผูก
- ปัญหาการถ่ายปัสสาวะ
- ปัญหาทางเพศ
- ตาพร่ามัว
- เวียนศีรษะ
- ง่วงนอน เพลีย ซึมๆ
- สำหรับยาแก้ซึมเศร้ากลุ่มใหม่พวก SSRI อาจมีผลข้างเคียงที่ต่างออกไป ดังต่อไปนี้
- ปวดศรีษะ
- คลื่นไส้
- นอนไม่หลับหรือกระวนกระวาย
- ผลข้างเคียงจากยาแก้ซึมเศร้าที่พบได้ทั้ง 2 กลุ่ม และพบได้บ่อยอีกอย่างได้แก่ น้ำหนักตัวเพิ่ม
พบว่าน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ยาทางจิตเวชจะนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน (obesity) และกลุ่มอาการผิดปกติทางเมแทบอลิก (metabolic syndrome) เช่น อ้วนลงพุง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ระดับไขมันในเลือดสูง ซึ่งส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคระบบหัวใจและหลอดเลือดรวมถึงเพิ่มอัตราการเสียชีวิตได้
กลไกการเกิดภาวะน้ำหนักเกิน จากยาโรคซึมเศร้า
เชื่อว่าอาจเกิดจากปัจจัยจากโรคจิตเวช ปัจจัยจากการดีขึ้นของอาการทางจิต และปัจจัยด้านยา
- เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการทำงานของสารสื่อประสาท เช่น
- ฮิสตามีน (histamine) ซึ่งโดยปกติฮิสตามีนที่หลั่งออกมา จะช่วยทำให้ลดความอยากอาหาร เพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย และเร่งกระบวนการสลายไขมัน (lipolysis) หรือระบบเผาผลาญของร่างกาย แต่เนื่องจากพบว่ายาต้านซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (TCAs) นั้นทำให้สารตัวนี้ออกฤทธิ์น้อยลง จึงให้ผลในทางตรงกันข้าม ส่งผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ในระบบการทำงานของสารสื่อประสาทซีโรโทนิน (serotonin) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารและการใช้พลังงาน เกิดการสูญเสียของการควบคุมความอยากอาหาร ทำให้อยากอาหารมากขึ้น
2. การลดการใช้พลังงาน เนื่องจากอาการข้างเคียงของยาที่ทำให้การเคลื่อนไหวลดลง
3. การเกิดระดับไขมันในเลือดสูง การเปลี่ยนแปลงความไวต่ออินซูลินของเนื้อเยื่อ และการรบกวนกระบวนการเมตาบอลิซึมภายในร่างกายจากยาต้านเศร้า ส่งผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการใช้ยาทางจิตเวชได้
4. พันธุกรรมก็มีส่วนเช่นกัน ในผู้ที่มีความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนเลปติน มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำหนักเกินมากกว่าผู้ที่มียีนปกติ
5. ปัจจุบันยังคงมีการศึกษากลไกการเกิดภาวะน้ำหนักเกินจากยาจิตเวชอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะค้นหาแนวทางการป้องกันและรักษา รวมถึงพัฒนายาที่มีผลทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินน้อยที่สุด
ยาทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ หรือยาระบาย ก็ตาม แม้ว่าโอกาสที่เกิดอาการข้างเคียงจะมากน้อย และมีความรุนแรงต่างกันไป
การใช้ยาโรคซึมเศร้า หรือยาต้านเศร้า จึงควรใช้ในขนาดและกินตามเวลาที่แพทย์สั่งเท่านั้น หากมีความจำเป็นที่ทำให้กินยาตามสั่งไม่ได้ และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากเกิดอาการใดๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นอาการข้างเคียงหรือไม่
Ref https://www.rama.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-1017, http://www.smj.ejnal.com/e-journal/showdetail/?show_detail=T&art_id=1959
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง