โรคปากนกกระจอก หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “หนองใน” เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มักพบได้ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย โรคนี้จะทำให้เกิดแผลเปื่อยร้อนที่มุมปากเป็นสัญญาณเด่นชัด นอกจากนี้ยังอาจพบอาการเจ็บปวด แสบร้อน คัน หรือปวดบวมที่บริเวณรอบแผลได้ แม้โรคปากนกกระจอกจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นโรคที่สร้างความรำคาญและกังวลใจให้แก่ผู้ป่วยพอสมควร ดังนั้นควรหมั่นสังเกตตนเองเพื่อให้รับมือกับโรคได้อย่างถูกวิธี
โรคปากนกกระจอก เกิดจากอะไร
โรคปากนกกระจอก (ANGULAR CHEILITIS) เป็นอาการอักเสบบริเวณมุมปาก ทำให้เกิดแผลหรือรอยแตกที่บริเวณดังกล่าว โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ แต่อาจส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหารและการพูดคุย สร้างความเจ็บปวดและความวิตกกังวลได้หากไม่ได้รับการรักษา
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก คือ การสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในบริเวณมุมปาก เนื่องจากมุมปากเป็นบริเวณที่มีความชื้นและมีการสะสมของน้ำลายและเศษอาหาร ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อที่เหมาะสม เมื่อมีการเจริญเติบโตของเชื้อโรคมากเกินไป จึงทำให้เกิดการอักเสบและแผลที่มุมปาก
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคปากนกกระจอกได้ เช่น ภาวะร่างกายอ่อนแอ เหงือกบวม ภูมิคุ้มกันต่ำ การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี 2 การสูบบุหรี่ การใส่ฟันปลอม การแพ้สารเคมี รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่าง อาทิ เบาหวาน และภาวะแพ้ภูมิตนเอง
อาการปากนกกระจอก
ปากนกกระจอก หรืออาการเรียกว่า ANGULAR CHEILITIS เป็นโรคที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการอักเสบของมุมปาก อาการอาจเริ่มจากรอยแดง คัน เจ็บ และลุกลามเป็นแผลเปื่อยร่องลึกที่มุมปาก ปากอาจบวม ลอก แห้ง แตก ตึง ทำให้รับประทานอาหารลำบาก นอกจากนี้ยังอาจมีตุ่มพองหรือของเหลวในแผล รวมถึงเกิดสะเก็ดและเลือดออกได้
อาการปากนกกระจอกสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งด้านเดียวหรือสองด้าน ระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลา สภาพร่างกาย ความสะอาด ความระมัดระวังในการรักษา เป็นต้น อาการอาจทวีความรุนแรงจนนำไปสู่การติดเชื้อราที่ผิวหนังหรือแบคทีเรียในบริเวณโรค ซึ่งย่อมส่งผลให้การรักษายากขึ้น
หากพบอาการผิดปกติที่มุมปาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสม การปล่อยปละละเลยอาจทำให้อาการแย่ลง ยากต่อการควบคุม และกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมได้ ดังนั้นควรดูแลรักษาความสะอาดปากและมุมปากอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดโรคร้ายนี้
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เป็นโรคปากนกกระจอก
โรคปากนกกระจอก หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า “ANGULAR CHEILITIS” เป็นอาการอักเสบบริเวณมุมปากที่พบได้บ่อย มีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งการติดเชื้อ ปัญหาสุขภาพประจำตัว และการแพ้สารเคมี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้นได้ สาเหตุหลักของโรคปากนกกระจอก มีดังนี้
- การติดเชื้อ
- เชื้อรา เช่น CANDIDA ALBICANS
- เชื้อแบคทีเรีย เช่น STAPHYLOCOCCUS AUREUS
การติดเชื้อเหล่านี้อาจเกิดจากความชื้นและการระคายเคืองบริเวณริมฝีปาก ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและลุกลามไปยังมุมปาก
- การระคายเคืองจากน้ำลาย
ผู้ป่วยที่มีปัญหาน้ำลายไหลเยิ้มบ่อย ๆ หรือชอบเลียริมฝีปากจนแห้งกร้าน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบบริเวณมุมปากได้
- ภาวะแพ้
การสัมผัสกับสารก่อแพ้ เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน หรือแม้กระทั่งโลหะจากการจัดฟันหรือฟันปลอม อาจนำไปสู่อาการระคายเคืองและอักเสบบริเวณริมฝีปาก
- ภาวะขาดสารอาหาร
การขาดวิตามินบี 2 ธาตุเหล็ก หรือสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพของริมฝีปาก อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคปากนกกระจอก
- โรคประจำตัว
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มะเร็งบางชนิด หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคปากนกกระจอก
- ผลข้างเคียงจากยา
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ อาจส่งผลให้ริมฝีปากแห้งและระคายเคืองได้
การรักษาปากนกกระจอก
โรคปากนกกระจอกเป็นสภาวะที่ก่อให้เกิดแผลหรือรอยแดงที่มุมปาก ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การขาดสารอาหาร ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกระคายเคืองและเจ็บปวด การรักษาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
การวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง
ก่อนเริ่มการรักษา แพทย์จะต้องวินิจฉัยสาเหตุที่แน่ชัดของโรคปากนกกระจอกเสียก่อน ทั้งนี้อาจต้องมีการเก็บตัวอย่างจากบริเวณที่ติดเชื้อเพื่อตรวจหาเชื้อก่อโรค ได้แก่ การตรวจหาเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือการทดสอบเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ เช่น ภาวะขาดสารอาหาร
การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา
หากผลการตรวจพบว่าโรคปากนกกระจอกเกิดจากเชื้อรา มีผื่นแดงขึ้นตามตัว แพทย์อาจสั่งจ่ายยาต้านเชื้อรา เช่น
- ไมโคนาโซล ใช้ทารักษาเชื้อราแคนดิดาและเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก
- ไนสตาทิน รับประทานเพื่อรักษาการติดเชื้อราในช่องปากหรือทางเดินอาหาร
- โคลไตรมาโซล ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับเชื้อรา เช่น น้ำกัดเท้า ติดเชื้อราที่ขาหนีบ และกลาก
- คีโตโคนาโซล ใช้ในกรณีที่ยาตัวอื่นไม่สามารถรักษาอาการได้ แต่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
การรักษาด้วยยาต้านแบคทีเรีย
หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจสั่งยาต้านแบคทีเรีย เช่น
- มิวพิโรซิน ยับยั้งการผลิตโปรตีนที่ใช้เลี้ยงแบคทีเรียบนผิวหนัง
- กรดฟูซิดิก ใช้ทารักษาการติดเชื้อผิวหนังจากเชื้อสแตปฟิโลค็อกคัส ออเรียสและโครีนแบคทีเรียม
การดูแลรักษาเสริมอื่น ๆ
นอกเหนือจากการใช้ยาแล้ว แพทย์อาจแนะนำวิธีการดูแลรักษาเสริมเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่
- ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างแผล ช่วยทำความสะอาดและลดการติดเชื้อ
- ใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทา เพื่อต้านอาการอักเสบและลดอาการคัน อย่างไรก็ตาม การใช้ติดต่อกันนานอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงความชุ่มชื้น เช่น น้ำมัน โลชั่น หรือครีม ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งแตกและระคายเคือง
- รับประทานอาหารเสริมหรือวิตามิน หากเกิดจากภาวะขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี 2 หรือแพ้กลูเตน
การรักษาโรคปากนกกระจอกนั้นมีหลากหลายวิธี ทั้งการใช้ยาและการดูแลรักษาเสริม ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรค การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การป้องกันปากนกกระจอก
โรคปากนกกระจอกเป็นโรคติดเชื้อราในช่องปากที่พบได้บ่อย แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถก่อให้เกิดความรำคาญและเจ็บปวดได้ การดูแลสุขภาพช่องปากจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคนี้ ซึ่งมีแนวทางป้องกันดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการกัดหรือเลียริมฝีปาก หากปากแห้งหรือแตก เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลและเลือดออก ซึ่งจะชะงักการหายของแผลลง นอกจากนี้ การเลียริมฝีปากด้วยน้ำลายจะขจัดความชุ่มชื้นจากผิวหนัง ทำให้ปากแห้งมากขึ้น
- ทาลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของเจลหรือขี้ผึ้งอย่างสม่ำเสมอเมื่อเกิดอาการปากแห้ง โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
- สำหรับผู้ที่ใส่ฟันปลอม จำเป็นต้องดูแลรักษาความสะอาดฟันปลอมอย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรใส่ฟันปลอมขณะนอนหลับ
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือมีปัญหาสุขภาพอื่นที่เกี่ยวข้องกับโรคเชื้อราในช่องปาก ควรรักษาความสะอาดช่องปากอย่างเคร่งครัด และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมไม่ให้อาการแย่ลง
- งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก
สรุป
โรคปากนกกระจอก เป็นโรคไวรัสสายพันธุ์เฮอร์ปีสที่สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศทุกวัย โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยเกิดแผลเปื่อยในช่องปากและลามไปยังริมฝีปาก รวมถึงอาจมีตุ่มนูนแดงเจ็บแสบตามไปด้วย แม้ว่าจะรักษาไม่หายขาด แต่อาการมักจะทุเลาลงและหายไปเองภายในระยะเวลา 7-10 วัน
แผลปากนกกระจอกนอกจากจะก่อให้เกิดความรำคาญและความเจ็บปวดแล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากแบคทีเรียและเชื้อราต่าง ๆ ที่อาจแทรกซึมเข้าไปในบริเวณแผล นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่โรคจะเป็นซ้ำอีกครั้งได้ในภายหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับความเครียด
การดูแลรักษาแบบประคับประคองด้วยการรับประทานอาหารเหลวหรืออุ่นอาหารให้ร้อนก่อนรับประทาน หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด เปรี้ยว และใช้ยาบรรเทาอาการปวด จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถผ่านพ้นระยะเวลาที่มีอาการของโรคไปได้โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือทรุดหนักลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย