โรคกรดไหลย้อน เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ควรให้ความสนใจ อาจส่งผลกระทบต่อคุณอย่างรุนแรงถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือการดูแลอย่างเหมาะสม การรับมือกับโรคกรดไหลย้อนอย่างไรให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลายของหลอดอาหารที่เชื่อมต่อกับกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ หย่อนยาน หรืออาจเสื่อมสภาพ ทำให้ไม่สามารถกั้นน้ำย่อย กรดหรืออาหารต่าง ๆ ในกระเพาะไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารได้ ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงโรคกรดไหลย้อน
การเลือกทานอาหารที่เหมาะสมและคำนึงถึงสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและควบคุมอาการของโรคกรดไหลย้อน การควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ กรดไหลย้อนห้ามกินอะไร เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ต้องนำไปสู่การรักษาหรือขั้นตอนผ่าตัดรักษากรดไหลย้อนขั้นรุนแรงได้ ที่จะทำให้โรคกรดไหลย้อนหายได้นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการดูแลตนเองในเบื้องต้นก่อนในเรื่องของการรับประทานอาหาร
กรดไหลย้อน และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
การรักษากรดไหลย้อน พฤติกรรมการกินและเลือกอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กระเพาะอาหารไม่ทำงานผิดปกติ กรดไหลย้อนห้ามกินอะไรบ้าง เพื่อป้องกันอาการรุนแรง มีดังนี้
- อาหารที่มีไขมันสูงและรสเผ็ด อาจทำให้กระเพาะอาหารทำงานช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดกรดไหลย้อน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด ผัด และเมนูที่มีเนย กะทิ หรือนมข้นเป็นส่วนประกอบ
- ผลไม้รสเปรี้ยว แม้ไม่ได้เป็นตัวส่งกรดไหลย้อนโดยตรง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะกระตุ้นการหลั่งกรด ดังนั้นควรรับประทานอย่าอดอาหารและควบคุมปริมาณที่ทาน
- ช็อกโกแลตและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอาจทำให้หูรูดและกระเพาะอาหารหย่อนมากขึ้น ควรจำกัดปริมาณการบริโภค
- พริกและสาร capsaicin ในอาหารเผ็ดอาจทำให้กระเพาะอาหารย่อยช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดกรดไหลย้อน
- น้ำอัดลมและเครื่องดื่มอัดแก๊สอาจทำให้หูรูดทำงานผิดปกติ และเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะ
- การบริโภคแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังเสี่ยงสร้างกรดในกระเพาะและทำให้กระเพาะอาหารอักเสบอีกด้วย
การรักษากรดไหลย้อนควรเน้นการปรับพฤติกรรมการกินและการเลือกอาหาร หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อควบคุมอาการและลดความเสี่ยงให้กรดไหลย้อนอย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน
เมื่อเราเข้าใจว่าผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารอะไรบ้าง กรดไหลย้อนห้ามกินอะไร ทีนี้เรามาสำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารที่ควรจะเลือกบริโภคเพื่อช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน มีดังนี้
- อาหารที่มีปริมาณไฟเบอร์สูง เช่น ธัญพืชและข้าวไม่ขัดสี เป็นต้น จะมีกากใบและไฟเบอร์ที่มาก เช่นเดียวกับในผักและผลไม้ ส่วนใหญ่จะช่วยลดการสะสมกรดในกระเพาะอาหาร ลดอาการปวดแสบและไม่สบายในท้อง พร้อมช่วยส่งเสริมกระบวนการขับถ่ายที่ดี ดังนั้นเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน
- ผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนจะเป็นผลไม้ที่มีระดับกรดต่ำ อาทิเช่น อะโวคาโด แอปเปิ้ล และแตงโม เป็นต้น การบริโภคผลไม้เหล่านี้จะช่วยลดอาการกรดไหลย้อน ช่วยให้อาการกรดไหลย้อนลดลงเร็วขึ้น ลองเพิ่มผลไม้เหล่านี้เข้าสู่เมนูอาหารของคุณกันดู
- สำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนควรเลือกบริโภคไขมันที่เป็นประโยชน์ เนื่องจากไขมันที่ดีนั้นจะไม่ส่งผลให้อาหารตกค้างในกระเพาะอาหาร และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอื่น ๆ ด้วย คุณสามารถรับประโยชน์จากไขมันที่ดีจากอาหารประเภทเนื้อปลา น้ำมันมะกอก และน้ำมันดอกทานตะวัน
วิธีดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการโรคกรดไหลย้อน
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน และทราบว่ากรดไหลย้อนห้ามกินอะไรแล้ว มาดูการดูแลตนเอง ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นและช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี วิธีการดูแลตนเองที่คุณควรทราบและปฏิบัติตาม มีดังนี้
- หลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว ควรรอสักพักก่อนที่จะนอน อย่างเฉพาะเมื่อทานอาหารมื้อหนัก คุณอาจนั่งพักในท่าเอนตัวเล็กน้อยก่อนนอน แต่หลีกเลี่ยงการนอนราบกับพื้นเพื่อป้องกันอาการกรดไหลย้อน
- กินอาหารมื้อเย็นมากเกินไป หรือ กินดึกอาจทำให้อาการกรดไหลย้อนเกิดขึ้นรุนแรงขึ้น ควรเลือกกินอาหารเมื่ออิ่มพอ และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีรสจัด อย่างไรก็ตามอย่ากินอาหารจุกจิกก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร เพราะอาจกระตุ้นอาการกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้น ควรรอประมาณ 10 นาทีหลังจากที่คุณทานอาหารเสร็จก่อนที่จะดื่มน้ำ
- หากคุณมีอาการกรดไหลย้อนที่เกิดขึ้นบ่อยควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษา เพราะอาการนี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่ได้รับการดูแล
- การสวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดรูปและไม่แน่นจนหายใจไม่ออกจะช่วยลดความกดดันในบริเวณท้อง ทำให้ไม่เกิดอาการจุกแน่นมากขึ้น
- การออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน แต่ควรปฏิบัติอย่างระมัดระวัง เพราะออกกำลังกายหนักมากอาจทำให้อาการของกรดไหลย้อนรุนแรงได้
- การดูแลตนเองเป็นส่วนสำคัญในการบรรเทาและป้องกันอาการโรคกรดไหลย้อน โดยควรปฏิบัติตามแนวทางที่แพทย์แนะนำเสมอ
รักษากรดไหลย้อนให้หายได้ด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง
การผ่าตัดรักษากรดไหลย้อนขั้นรุนแรงด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมเนื่องจากผลการรักษาที่ดีและประสิทธิภาพที่สูง การผ่าตัดรักษากรดไหลย้อนเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและได้ผลที่น่าพอใจสำหรับคนไข้ โดยใช้เทคนิคการผ่าตัดในการปรับแต่งหูรูดและกระชับส่วนกระเพาะอาหารให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น นำส่วนบนของกระเพาะอาหารมาหุ้มบริเวณหูรูดเพื่อเพิ่มความกระชับ การผ่าตัดจะทิ้งรอยแผลบริเวณหน้าท้องเพียงแค่ 5 จุดเท่านั้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนรุนแรงหรือไม่ต้องการใช้ยาลดกรดเป็นประจำในระยะยาว หรือหากมีความกังวลในการใช้ยาเป็นเวลานาน ๆ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ที่รับการรักษาสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและไม่ต้องเผชิญกับปัญหากรดไหลย้อนเช่นเดิมอีกต่อไป
รักษาโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง ด้วย TIF เทคนิคการซ่อมแซมหูรูดกระเพาะอาหารแบบไร้แผล
โรคกรดไหลย้อนเกิดจากกรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารมากกว่าปกติ ตามปกติแล้วแพทย์จะใช้การรักษาด้วยการสั่งให้รับประทานยาลดกรดเป็นระยะเวลาประมาณ 8 สัปดาห์ หากอาการไม่ดีขึ้นและหลังจากที่แพทย์ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีโรคอื่นที่เกี่ยวข้องกับหลอดอาหาร แพทย์อาจแนะนำวิธีการผ่าตัดเป็นทางเลือก ในปัจจุบันนี้เรายังมีทางเลือกอีกวิธีคือการซ่อมแซมหูรูดกระเพาะอาหารจากด้านในโดยไม่ต้องผ่าตัด เทคนิคนี้เรียกว่า Transoral Incisionless Fundoplication หรือ TIF
คุณสมบัติที่น่าสนใจของ TIF
- แผลบาดจากการผ่าตัดหรือการเจาะรูที่บริเวณหน้าท้อง
- นอนโรงพยาบาลเพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น
- ฟื้นตัวเร็วว่าการผ่าตัด
- มีความปลอดภัยที่สูง โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัด
- สามารถทำการรักษาซ้ำได้หากผู้ป่วยมีอาการกลับมาเป็นโรคกรดไหลย้อนอีกครั้ง
TIF เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่ไม่ได้ผลจากการรักษาด้วยยา หากคุณเคยมีอาการกรดไหลย้อนและได้รับการรักษาด้วยยาแต่ไม่เห็นผลสักที อาจจะเป็นเพราะโรคของคุณมีระดับรุนแรงมากขึ้น หรือยาที่ใช้ไม่เหมาะกับร่างกายของคุณ การตัดสินใจเลือก TIF อาจจะเป็นทางออกที่ดี เนื่องจากมีโอกาสที่คุณจะรับการรักษาที่เหมาะสมและได้ผลมากกว่าเดิม
- การใช้ยาลดกรดอาจเป็นทางเลือกสำหรับบางคน แต่ก็มีคนที่มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น กระดูกเปราะบาง ค่าไตและเกลือแร่ผิดปกติ เมื่อคุณรู้สึกว่ายาอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย อาจต้องการพิจารณา TIF เป็นวิธีการใหม่ที่ไม่ต้องใช้ยาและอาจจะเหมาะสมกับคุณมากกว่า
- ผู้ที่กลัวผลข้างเคียงของยาในระยะยาว หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพใจและต้องการแนวทางรักษาที่ไม่มีผลข้างเคียงอันไม่สะดวก เลือก TIF อาจเป็นคำตอบที่คุณคาดหวัง เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่ต้องรับประทานยาและไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
- ผู้ที่ผ่าตัดรักษาโรคกรดไหลย้อนแล้วกลับมาเป็นซ้ำ การพิจารณา TIF เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขสาเหตุของอาการและอาจช่วยลดความเป็นไปได้ของการกลับมาเป็นซ้ำ
- ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนโดยไม่มีโรคหลอดอาหารอื่น ๆ ร่วมด้วย การพิจารณา TIF อาจเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากจะช่วยแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของโรคและอาจลดอาการที่คุณเคยพบมาก่อน
บทสรุป
โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่ต้องให้ความสำคัญในการป้องกันและการรับมืออย่างถูกวิธี การเลือกทานอาหารที่เหมาะสมและการรักษาพฤติกรรมในการรับประทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคนี้ เนื่องจากสภาวะการทานอาหารและพฤติกรรมประจำวันมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบย่อยอาหาร และควรทราบว่ากรดไหลย้อนห้ามกินอะไร อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการเจ็บปวดหรือระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อรักษาการดูแลสุขภาพที่ดีในระยะยาว
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยด้านสุขภาพที่มีการรักษาในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย