ครีมอันตราย ที่ขายทั้งใต้ดินบนดินตอนนี้ ถือเป็นภัยสังคมแบบหนึ่ง เพราะเป็นการทำกำไรบนความทุกข์ของผู้อื่น ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายกับผู้ที่ใช้ ปัจจุบันนับว่าเครื่องสำอางถือว่าจำเป็นอย่างมากเลยสำหรับบรรดาชาย –หญิง ที่ก็ต้องการปรนนิบัติตัวเอง โดยแต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติหรือข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป บางยี่ห้อก็อาจทำให้หน้าขาวใส บางยี่ห้อก็ลดสิว ฝ้า ลดริ้วรอย ไร้จุดด่างดำ แต่ก็มีเครื่องสำอางบางยี่ห้อหรือบางชนิดที่ผสมสารอันตรายที่ส่งผลให้ร่างกายได้รับผลอันตรายที่ตามมา แต่จะมีสารอันตรายชนิดไหนบ้าง และ มีวิธีสังเกตอย่างไร วันนี้เราก็มีคำตอบมาฝากกันด้วย…
สารบัญ
1. จุดสังเกตครีมอันตราย ง่าย ๆ 5 จุด
- ครีมที่มีคุณสมบัติครอบจักรวาล
- ครีมที่มีสีผิดไปจากสีขาว ใส
- ครีมที่มีกลิ่นน้ำหอมแรงผิดปกติ (กลิ่นหอมไปทางฉุน)
- หยุดใช้ครีมแล้วสิวบุก (สิวขึ้น)
- เนื้อครีมมีลักษณะคล้ายเม็ดทราย (แต่ไม่ใช่เม็ดบีดส์)
2. ครีมแบบไหนที่อาจมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
3. เลือกพิสูจน์ครีมอันตราย จากการทดสอบง่าย ๆ ที่บ้านก็ทำได้
4. ผงซักฟอกสามารถตรวจหาสารปรอทได้ไหม
ครีมอันตราย จุดสังเกตง่าย ๆ 5 จุด
1. ครีมที่มีคุณสมบัติครอบจักรวาล
โดยเฉพาะที่ชอบระบุว่าสามารถรักษาสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หน้ากระจ่างใส ผิวชุ่มชื่น ช่วยรักษารูขุมขน ทำให้ผิวดูดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน
ซึ่งมีหลายชนิดเลยที่เห็นตามท้องตลาดและ Internet ที่เขาเคลมคุณสมบัติต่าง ๆ ไว้ครอบจักรวาล ซึ่งมันเป็นข้อบ่งชี้หรือเป็นสิ่งที่เราควรที่จะต้องพึงระลึกว่าไม่สามารถมีจริงบนโลก และที่สำคัญหลาย ๆ คนที่ไปใช้แล้วเกิด Side Effects เกิดอาการสิวเห่อ ผิวหน้าพัง ดังนั้นถ้าพบเจอครีมที่มีโฆษณาแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า ถ้าใครยังคงใช้อยู่ก็ควรที่จะเลิกและตรวจสอบย้อนกลับว่าสิ่งที่เราใช้นั้นปลอดภัยจริง ๆ ไหม
2. ครีมที่มีสีผิดไปจากสีขาว ใส
นับเป็นข้อที่จับตามองได้ง่ายมาก ๆ นั้นก็คือครีมที่ใช้มีสีสันที่มันแปลกไปหรือเปล่าหรือมีสีสันเกินไปไหม เพราะในหลาย ๆ ตัวที่ได้สังเกตดูแล้วพบเป็นส่วนใหญ่ว่าครีมที่มีสีสันนั้นมักจะมีสารสเตียรอยด์ โดยเฉพาะ สีส้ม สีเขียว ที่อาจจะแอบอ้างว่าเป็นสีที่ได้จากกลุ่มตระกูลพืชอย่าง แครอท ชาเขียว ตรงนี้ก็เป็นข้อบ่งชี้ให้ฉุกคิดเลยว่าครีมนี้มีสารอันตรายผสมอยู่ สีที่ได้มักเป็นสารสีที่ต้องการใส่เข้าไปเพื่อเพื่อที่จะปลอมและเกิดการน่าใช้
3. ครีมที่มีกลิ่นน้ำหอมแรงผิดปกติ (กลิ่นหอมไปทางฉุน)
ก็แน่นอนว่ากลิ่นที่แรงเตะจมูกก็เป็นข้อจับผิดได้ง่ายไม่ต่างจากสีของเนื้อครีมเช่นกัน เนื่องจากว่า ครีมอันตราย บางชนิดนั้นอาจมีสารที่ส่งกลิ่นรุนแรงเลยทำให้การผสมน้ำหอมเข้าไปก็จะช่วยไปกลบกลิ่นของสารอันตรายนั้น ๆ ได้
4. หยุดใช้ครีมแล้วสิวบุก (สิวขึ้น)
และอีกข้อสำคัญก็คือหลังจากที่ใช้ไปแล้วและหยุดใช้กลับเกิดอาการหน้าเห่อ สิวเห่อ เป็นฝ้า กระ จุดด่าดำขึ้น หน้าแดง แบบนี้ก็คือต้องเลิกใช้ขาดไปเลย เพราะว่า ครีมตัวนี้มีสารอันตราย แน่นอนอาจจะเป็น ไฮโดรควิโนน สารสเตียรอยด์ หรือสารปรอทอาจผสมอยู่
เนื่องจากว่าครีมที่ปลอดภัยจริง ๆ เลิกใช้จะไม่มีปัญหา และไม่ทำให้ผิวเกิดเป็นสิวยกเว้นประเภทครีมที่ทำให้เกิดการอุดตันเวลาที่ใช้ไปแล้วจะเกิดสิวเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าใช้ไปแล้วสักพักแล้วหน้ากระจ่างใส แต่พอหยุดใช้ไปแล้วสิวเกิดเห่อเยอะขึ้นแบบนี้มีสารสเตียรอยด์
5. เนื้อครีมมีลักษณะคล้ายเม็ดทราย (แต่ไม่ใช่เม็ดบีดส์)
ช่างสังเกตสักนิดถ้ามองด้วยตาเปล่าอาจจะพบว่าเนื้อครีมมีความหยาบ คล้ายมีเม็ดทรายเล็ก ๆ แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่เม็ดบีดส์ ซึ่งเม็ดบีดส์นั้นจะมีก็ต่อเมื่อครีมชนิดนั้นเป็นครีมหรือโฟมล้างหน้าซะมากกว่า ในเนื้อครีมบำรุงจะไม่มี
ครีมแบบไหนที่อาจมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
ในความจริงแล้ว ครีมที่ปลอดภัย คือเป็นครีมขึ้นทะเบียนจริง ตรวจสอบง่าย มีชื่อผู้ผลิตชัดเจนแน่นอน
ส่วนมากจะมีลักษณะโปร่งแสง หรือเป็นลักษณะของเนื้อครีมขาว เนื้อเจล ซึ่งอาจเป็นข้อสันนิษฐานสำคัญที่ได้ยกตัวอย่าง แต่ไม่ได้การันตีได้ 100% ว่าครีมที่เป็นเนื้อใส สีขาว หรือเจลเขาจะไม่ผสมสารอันตรายเข้าไป ไม่ได้หมายความว่าครีมใส ๆ จะไม่มี อาจมี แต่เป็นข้อบ่งชี้ว่าครีมที่มีสีสันฉูดฉาดจะมีสารอันตรายมากกว่านั่นเอง ก็อยากแนะนำว่าให้ไปตรวจสอบกันดูว่าครีมที่ใช้นั้นมีสีสันเยอะเกินไปหรือไม่
เลือกพิสูจน์ ครีมอันตราย จากการทดสอบง่าย ๆ ที่บ้านก็ทำได้
ในปัจจุบันนี้มีสารเกิดขึ้นมากมายบ้างก็สามารถทราบได้จากการสัมผัสดูสี ดมกลิ่น แต่ก็มีสารที่เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าภายในเนื้อครีมนั้นจะมีสารอันตรายหรือไม่เพราะบางยี่ห้อก็ให้สีที่คล้ายกันจนแยกไม่ออกว่าแบบไหนเป็นครีมอันตราย และแบบไหนปลอดภัย ดังนั้นก็จะมาแนะนำการตรวจสอบง่าย ๆ ที่บ้านกัน
วิธีที่ 1. ตรวจสารปรอท
การสังเกตจากตาเปล่าก็พบแล้วว่าสารปรอทในเนื้อครีมจะมีคล้าย ๆ เหมือนกับเม็ดทรายหรือเม็ดบีดส์ แต่มีอีกวิธีถ้าหากว่าการสังเกตด้วยตาเปล่าอาจไม่ชัดเจนมากพอ ก็คือการใช้กระดาษสีดำทึบ ๆ เหตุผลที่ใช้ก็เพราะว่าจะทำให้เห็นสารปรอทที่ชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะเนื้อครีมที่มีสีอ่อน จากนั้นใช้คอตตอนบัดในการตักเนื้อครีมที่มีสารปรอทขึ้นมา เมื่อตักครีมขึ้นมาแล้วให้ทำการปาดลงบนกระดาษสีดำโดยปาดในลักษณะวน ๆ ลงแผ่นกระดาษ (อย่างเบามือ) สักพักหนึ่งก็จะพบได้อย่างชัดเจนเลยว่าในเนื้อครีมนั้นไม่ได้มีแค่เนื้อครีมเท่านั้นแต่ยังมีเม็ดทรายเล็ก ๆ ผสมอยู่ด้วยนั่นเอง
วิธีที่ 2. ตรวจหาสารไฮโดรควิโนน (hydroquinone)
วิธีนี้หากมองด้วยตาเปล่าก็จะไม่พบ ไม่เจออะไรเลย จำเป็นต้องใช้ผงซักฟอกเท่านั้น โดยเริ่มจากตักผงซักฟอกใส่ภาชนะ (ปริมาณของผงซักฟอกต้องเยอะถึงจะเห็นความเข้มข้นของสารชนิดนี้) หลังจากที่ตักผงซักฟอกใส่ภาชนะแล้วเติมน้ำเล็กน้ำและตีให้เกิดฟอง จากนั้นใช้กระดาษทิชชู่ (หนาเพื่อลดการซึมเปื้อน) ใช้คอตตอนบัดตักเนื้อครีมที่มีสารไฮโดรควิโนนขึ้นมาใสบริเวณกระดาษทิชชู่เลย จากนั้นใช้น้ำผงซักฟอกที่เตรียมไว้เทลงไปบริเวณครีมได้เลย จากนั้นรอผลลัพธ์สัก 2-3 นาที ถ้าหากว่าครีมชนิดไหนมีสารไฮโดรควิโนนที่ค่อนข้างเข้มข้นช่วงบริเวณโดยรอบนอกของเนื้อครีมบนกระดาษทิชชู่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอย่างชัดเจนเลย
วิธีที่ 3. ตรวจหาสเตียรอยด์
อีกวิธีคือการใช้ พลาสเตอร์ในการตรวจนั่นเอง โดยอาจจะใช้ผิวบริเวณท้องแขนของตัวเองโดยเริ่มจากใช้คอตตอนบัดป้ายครีมที่มีสารสเตียรอยด์ (พอประมาณเท่านั้น) และจะใช้พลาสเตอร์ปิดทับลงไปบริเวณที่ได้ทาครีมลงไป หลังจากนั้นเพื่อเป็นการเปรียบเทียบกันดูว่าจะมีความแตกต่างกันหรือไม่ โดยการใช้พลาสเตอร์อีกหนึ่งอันที่ไม่ต้องป้ายครีมใด ๆ ทั้งสิ้นแปะลงไปคู่กัน เมื่อแปะลงไปคู่กันเรียบร้อยแล้วให้ทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง สีผิวที่ป้ายครีมที่มีสารไฮโดรควิโนนนั้นจะมีสีที่ซีดและขาวกว่าข้างที่ไม่ได้ทาครีมนั่นเอง
กลับสู่สารบัญผงซักฟอกสามารถตรวจหาสารปรอทได้ไหม
การใช้ผงซักฟอกนั้นไม่สามารถตรวจหาสารปรอทได้ สารปรอทจะไม่เปลี่ยนสีเป็นสีอะไรเลย ฉะนั้นแล้ววิธีการใช้ผงซักฟอกนั้นตรวจหาได้แค่สารที่มีไฮโดรควิโนนเท่านั้น
อาการถอนยาสเตียรอยด์ใน ครีมอันตราย มีอะไรบ้าง
ปัญหาผิวอันดับหนึ่งที่หลายคนกังวลใจว่าลักษณะสิวที่เป็นนั้นใช่สิวติดสารสเตียรอยด์หรือไม่ ซึ่งอาการสิวติดสารสเตียรอยด์มักจะเกิดขึ้นหลังจากหยุดครีมชนิดนั้น ๆ อย่างน้อย 7-14วัน แต่อาการจะหนักขึ้นก็ประมาณ1-2เดือนหลังจากที่หยุดครีมอันตรายนั้นๆ โดยอาการเหล่านี้จะเรียกว่าอาการถอนยาสเตียรอยด์ ซึ่งจะมีอาการคร่าว ๆ 8ข้อด้วยกัน
- ผิวหมองคล้ำอยู่ดี ๆ ผิวหน้าก็คล้ำเร็วมาก ๆ จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าโดนของหรือเปล่า
- มีอาการคันหน้ายุบยิบ อยู่ดี ๆ ก็คันโดยเฉพาะเวลาที่เหงื่อออกจะมีอาการคันหน้าเป็นพิเศษจะคันมาก ๆ
- มีอาการหน้าแดง แสบร้อน ก็จะมีอาการร้อนผ่าวใต้ผิวหรือบางคนก็จะรู้สึกว่าเหมือนมีไอร้อนผุดออกมาจากใต้ผิว
- เป็นปัญหาสิว ที่อยู่ดี ๆ สิวก็เห่อขึ้นเยอะมากเลย ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ เรียกได้ว่าปะทุกันขึ้นมาเยอะมาก ๆ
- มีปัญหาหน้ามัน แม้ว่าไม่ได้ทาครีมอะไรก็ตามแต่ หน้าก็จะมันเยิ้ม มันมากกว่าปกติ
- ใช้ครีมอะไรก็แพ้ กลายเป็นว่าผิวแพ้ง่ายมาก ๆ แล้วก็จะมีผดผื่นขึ้น
- ผิวแก่ ผิวโทรม ผิวแก่ก่อนวัยจนผิดสงสัยของคนรอบข้าง
- ผิวบางจนเห็นเส้นเลือด บางคนจะสังเกตได้ว่าพอหยุดครีมอันตราย เวลาที่ส่องกระจกผิวจะเห็นได้ชัดเลยว่าผิวหน้าบาง ผิวหน้าขาวโพนจนเห็นเส้นเลือดเลย
สิวแบบนี้เมื่อหายจะทิ้งรอยดำ และต้องเอามายิงด้วยเลเซอร์ลบรอยดำเช่น pico laser
กลับสู่สารบัญชุดตรวจ ครีมอันตราย จากกรมวิทยาศาสตร์
เท่าที่จะให้มั่นใจและชัวร์กว่าก็คือการมีตัวช่วยจาก กรมวิทยาศาสตร์ ที่หน้าตาจะเป็นกล่องสีเหลือ ๆ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนนี้เครื่องที่ใช้ตรวจสารจากกรมวิทยาศาสตร์มีราคาค่อนข้างสูงตั้งแต่หลักพันถึงสองพันบาทกันเลยทีเดียว แต่ว่าตอนนี้เขามีขนาดไซต์เล็ก ๆ กะทัดรัดด้วยราคา 200 บาทเรียกได้ว่าการมีติดไว้ที่บ้านก็จะได้ประโยชน์มาก ๆ เมื่อไหร่ที่ได้ลองครีมใหม่ ๆ หรือจำเป็นจะต้องเปลี่ยนครีมก็สามารถไปตรวจหาสารอันตรายกันได้จะได้ไม่ต้องพลาดกับปัญหา ครีมอันตราย ผิวติดสารอันตรายและมาแก้ไขภายหลัง
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นวิธีการใช้สังเกตถึงความปลอดภัยให้กับตัวเองว่าครีมที่ปลอดภัยควรจะมีลักษณะอย่างไร และวิธีการแบบไหนที่จะพบได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าผิวติดสารสเตียรอยด์ ดังนั้นควรจะหาวิธีแก้และปรึกษาปัญหาผิวกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำว่าจะเริ่มรักษาผิวอย่างไร เริ่มแก้ปัญหาผิวกันอย่างไร เพื่อให้ปัญหาผิวติดสารอันตรายได้ฟื้นฟูไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ
Reference: http://www.env.eng.chula.ac.th/?q=content/high-performance-liquid-chromatography-hplc
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography