อาการหิวบ่อยหรือรู้สึกหิวเร็วเป็นภาวะที่หลายคนเคยประสบ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเรื่องปกติจากกิจวัตรประจำวันที่เปลี่ยนแปลง เช่น ออกกำลังกายมากขึ้นหรือรับประทานอาหารไม่เพียงพอ แต่ในบางกรณี อาการหิวบ่อยอาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งควรได้รับการใส่ใจและตรวจสอบอย่างละเอียด
ความหิวไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณจากร่างกายว่าต้องการพลังงานเพิ่มเติมเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตใจ ฮอร์โมน และการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกายอีกด้วย การทำความเข้าใจสาเหตุของความหิวบ่อยจึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพโดยรวมของเรา ทั้งในแง่ของการป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือภาวะการเผาผลาญผิดปกติ และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตในระยะยาว
หิวบ่อยคืออะไร? แบบไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ
หิวบ่อยคืออะไร? แบบไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ
ความหิวเป็นกลไกตามธรรมชาติที่บ่งบอกว่าร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มเติม แต่เมื่อความหิวเกิดขึ้นบ่อยครั้งผิดปกติ หรือรู้สึกหิวแม้เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จไม่นาน อาจเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในร่างกายหรือจิตใจที่ต้องใส่ใจ
อธิบายอาการหิวบ่อย หิวเร็ว รู้สึกไม่อิ่ม
- หิวบ่อย รู้สึกต้องการอาหารตลอดเวลา หรือหิวซ้ำในระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากมื้ออาหาร
- หิวเร็ว รู้สึกหิวหลังจากรับประทานอาหารในระยะเวลาไม่นาน
- รู้สึกไม่อิ่ม แม้จะรับประทานอาหารในปริมาณมาก ก็ยังรู้สึกไม่พอหรือยังอยากกินเพิ่ม
การแยกแยะระหว่างหิวจริงกับหิวทางอารมณ์
- หิวจริง (Physical Hunger) เกิดขึ้นเมื่อระดับพลังงานในร่างกายลดลง มีสัญญาณทางร่างกาย เช่น ท้องร้อง หน้ามืด หรือหมดแรง มักค่อย ๆ เกิดขึ้นและสามารถรอเวลาได้
- หิวทางอารมณ์ (Emotional Hunger) เกิดจากอารมณ์ เช่น ความเครียด เบื่อ หรือเศร้า มักเกิดขึ้นทันทีและโฟกัสที่อาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ขนมหรือของหวาน มักกินจนเกินความจำเป็นและรู้สึกผิดภายหลัง
การสังเกตและแยกแยะระหว่างหิวจริงกับหิวทางอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยในการวางแผนจัดการความหิวอย่างเหมาะสมและป้องกันภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคที่เกี่ยวข้อง
ผู้หญิงหิวบ่อยเกิดจากอะไร?
อาการหิวบ่อยในผู้หญิงอาจมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยทางชีวภาพและจิตใจที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในเรื่องของฮอร์โมนและวงจรการทำงานของร่างกาย
ฮอร์โมนที่มีผลต่อความหิว เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
ฮอร์โมนเพศหญิงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความอยากอาหาร โดยเฉพาะเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งระดับของฮอร์โมนเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดรอบเดือน เมื่อโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือน จะกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกหิวมากขึ้นและมีความอยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
วัฏจักรการมีประจำเดือนและ PMS
ในช่วงก่อนมีประจำเดือน (PMS) ผู้หญิงหลายคนมักมีอาการหิวบ่อยหรือหิวมากกว่าปกติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลต่อระบบเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหารหรือรู้สึกอิ่มยากกว่าปกติ
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
ความเครียดส่งผลต่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งมีส่วนกระตุ้นความอยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรีสูง ในขณะที่การนอนหลับไม่เพียงพอยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเกรลิน (ฮอร์โมนกระตุ้นความหิว) เพิ่มขึ้น และลดระดับฮอร์โมนเลปติน (ฮอร์โมนควบคุมความอิ่ม) ทำให้รู้สึกหิวบ่อยขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การสังเกตพฤติกรรมความหิวในแต่ละช่วงของเดือน รวมถึงการจัดการความเครียดและการนอนหลับจึงมีความสำคัญต่อการควบคุมอาการหิวบ่อยในผู้หญิง
ทําไมถึงรู้สึกหิวตลอดเวลา?
อาการรู้สึกหิวตลอดเวลาอาจไม่ได้เกิดจากความต้องการพลังงานของร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อความรู้สึกหิวแบบต่อเนื่องและไม่อิ่มง่าย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นดังนี้
พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่มีคุณภาพ
การรับประทานอาหารที่ขาดโปรตีนและไฟเบอร์ เช่น การเลือกกินขนมขบเคี้ยว ของหวาน หรืออาหารแปรรูปมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างความอิ่มและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดความหิวซ้ำบ่อย ๆ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจเกิดจากการเว้นระยะเวลาระหว่างมื้ออาหารนานเกินไป หรือรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นเร็วแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองด้วยความรู้สึกหิวบ่อยเพื่อเรียกคืนระดับน้ำตาลในเลือด
ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และการเสพติดน้ำตาล
สภาวะจิตใจ เช่น ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งกระตุ้นความอยากอาหาร โดยเฉพาะของหวานหรืออาหารที่มีแคลอรีสูง นอกจากนี้ การเสพติดน้ำตาลยังทำให้เกิดวงจรความหิวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเนื่องจากน้ำตาลในเลือดไม่คงที่
ทําไมถึงกินเยอะแต่ไม่อิ่ม?
อาการกินเยอะแต่ไม่รู้สึกอิ่มอาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งอาจทำให้ร่างกายยังคงส่งสัญญาณหิวแม้จะได้รับพลังงานเพียงพอแล้ว
ระบบการส่งสัญญาณอิ่มในสมองบกพร่อง
สมองของเรามีกลไกควบคุมความหิวและความอิ่มผ่านฮอร์โมน เช่น เลปติน (Leptin) และเกรลิน (Ghrelin) เมื่อระบบนี้ทำงานผิดปกติ เช่น ในกรณีของภาวะดื้อเลปติน (Leptin Resistance) สมองอาจไม่รับรู้ว่าร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอแล้ว จึงยังคงกระตุ้นให้รู้สึกหิวต่อไป
การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานแต่ไม่ให้สารอาหาร (Empty Calories)
อาหารที่มีแคลอรีสูงแต่ขาดสารอาหาร เช่น น้ำตาลขัดขาว ของทอด หรือขนมขบเคี้ยว มักทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความหิวซ้ำซ้อน เนื่องจากร่างกายยังคงขาดสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างความอิ่มอย่างแท้จริง
การกินเร็วเกินไปจนสมองยังไม่ทันรับรู้ความอิ่ม
กระบวนการส่งสัญญาณความอิ่มจากกระเพาะอาหารไปยังสมองใช้เวลาประมาณ 20 นาที หากกินเร็วเกินไป ร่างกายจะได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็นก่อนที่สมองจะรับรู้ว่าควรหยุดกิน ส่งผลให้ยังรู้สึกไม่อิ่มแม้จะกินในปริมาณมากแล้ว
การปรับพฤติกรรมการกินให้ช้าลง เลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และดูแลสมดุลของฮอร์โมนจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขอาการนี้
หิวบ่อยเป็นเบาหวานไหม?
อาการหิวบ่อยอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน โดยเฉพาะหากมีอาการร่วมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะน้ำตาลในเลือดผิดปกติ
ความเชื่อมโยงระหว่างอาการหิวบ่อยกับโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานโดยเฉพาะประเภทที่ 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลินหรือการขาดอินซูลิน ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถนำกลูโคสในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายส่งสัญญาณหิวบ่อยแม้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็ตาม ร่างกายพยายามหาพลังงานเพิ่มเติมผ่านการกระตุ้นความหิวอยู่ตลอดเวลา
อาการร่วมที่ควรระวัง เช่น น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้จะรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นแต่ร่างกายยังคงลดน้ำหนัก เนื่องจากไม่สามารถใช้กลูโคสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำ เป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปจนไตต้องขับออกมาในปัสสาวะ ทำให้สูญเสียน้ำและรู้สึกกระหายน้ำมากขึ้น
วิธีตรวจคัดกรองเบาหวานเบื้องต้น
หากมีอาการหิวบ่อยร่วมกับอาการดังกล่าว ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เช่น การตรวจน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Blood Sugar) หรือการตรวจ HbA1c เพื่อประเมินค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือดย้อนหลัง 2-3 เดือน และรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการดูแลสุขภาพต่อไป
อาการหิวบ่อยเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะอื่นได้ไหม?
อาการหิวบ่อยอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเผาผลาญหรือฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ดังนี้
ภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)
ไทรอยด์เป็นต่อมที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย หากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานเร็วขึ้น ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อยและมีน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการร่วม เช่น ใจสั่น เหงื่อออกง่าย หรืออารมณ์แปรปรวน
โรคเบาหวานประเภทที่ 2 หรือเบาหวานแฝง
นอกจากเบาหวานที่วินิจฉัยแล้ว ยังมีภาวะเบาหวานแฝงหรือภาวะดื้ออินซูลินที่อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ ส่งผลให้เกิดความหิวบ่อยอย่างผิดปกติ แม้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็ตาม
ภาวะการเผาผลาญพลังงานที่ผิดปกติ (Metabolic Disorders)
โรคหรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงาน เช่น ภาวะดื้ออินซูลิน ภาวะไขมันพอกตับ หรือภาวะเมตาบอลิกซินโดรม สามารถส่งผลให้ระดับฮอร์โมนและการใช้พลังงานในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดอาการหิวบ่อยอย่างต่อเนื่อง
หากมีอาการหิวบ่อยร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่เหมาะสม และวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง
วิธีแก้ไขอาการหิวบ่อย หิวเร็ว
อาการหิวบ่อยหรือหิวเร็วมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกิน การพักผ่อน และภาวะอารมณ์ การแก้ไขอาการเหล่านี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สมดุลทั้งด้านโภชนาการและสุขภาพจิตใจ ดังนี้
ปรับพฤติกรรมการกิน
เพิ่มโปรตีน ไฟเบอร์ ลดน้ำตาล
- เลือกอาหารที่มี โปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อไม่ติดมัน หรือถั่ว เพื่อช่วยเพิ่มความอิ่มและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
- เพิ่ม ไฟเบอร์ จากผัก ผลไม้ไม่หวานจัด หรือธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งช่วยยืดเวลาการย่อยอาหารและเพิ่มความอิ่มนาน
- ลดการบริโภค น้ำตาลและแป้งขัดขาว เพราะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รู้สึกหิวซ้ำบ่อยครั้ง
จัดเวลาอาหารให้เป็นระบบ และหลีกเลี่ยงการอดอาหาร
- ควรกินอาหารให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอ เช่น ทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่ทำให้เกิดความหิวบ่อย
- หลีกเลี่ยงการอดอาหารเป็นเวลานาน เพราะจะกระตุ้นให้เกิดความหิวอย่างรุนแรงในมื้อต่อไป และอาจทำให้กินเกินความจำเป็น
ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความหิวและความอิ่ม
- นอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายควบคุมฮอร์โมนเกรลินและเลปตินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความรู้สึกหิวเกินความจำเป็น
เทคนิคการกินแบบ Mindful Eating
- ฝึกสติในการกิน โดยเคี้ยวอาหารช้า ๆ รับรู้รสชาติและสัมผัสของอาหารอย่างเต็มที่ เพื่อให้สมองมีเวลารับรู้ความอิ่ม
- หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนระหว่างมื้ออาหาร เช่น การดูโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ เพราะอาจทำให้กินมากกว่าความจำเป็นโดยไม่รู้ตัว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยควบคุมอาการหิวบ่อยและหิวเร็วได้อย่างยั่งยืน พร้อมเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
แม้อาการหิวบ่อยจะสามารถเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตทั่วไป แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหรือภาวะผิดปกติที่ควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์อย่างละเอียด ดังนี้
สัญญาณเตือนว่าอาการหิวบ่อยอาจเป็นอาการของโรค
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้จะรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น แต่กลับมีน้ำหนักลดอย่างผิดปกติ
- ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำมาก อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานหรือปัญหาเกี่ยวกับไต
- ใจสั่น เหงื่อออกง่าย หรืออารมณ์แปรปรวน อาจเชื่อมโยงกับภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน
- รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หรือหมดแรงบ่อย อาจเป็นผลจากภาวะน้ำตาลในเลือดผิดปกติหรือภาวะเมตาบอลิกอื่น ๆ
การวินิจฉัยและการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
หากมีอาการหิวบ่อยร่วมกับสัญญาณเตือนดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่เหมาะสม เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือการประเมินภาวะโภชนาการโดยรวม เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกต้องและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
หากอาการหิวบ่อยเกิดขึ้นเป็นประจำโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน เช่น ออกกำลังกายหนักหรือรับประทานอาหารไม่เพียงพอ และมีอาการร่วม เช่น น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะสุขภาพผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุที่แท้จริง
ใช่ ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความหิวและความอิ่ม โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปติน เกรลิน เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตามรอบเดือนหรือภาวะสุขภาพ เช่น ความเครียดหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ
อาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น เช่น โปรตีนและไฟเบอร์ หรือการกินเร็วเกินไปจนสมองยังไม่ทันรับรู้ความอิ่ม รวมถึงภาวะดื้อเลปตินที่ทำให้ระบบสัญญาณอิ่มในสมองทำงานผิดปกติ
อาการหิวบ่อยอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน โดยเฉพาะหากมีอาการร่วม เช่น น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อประเมินภาวะเบาหวานหรือภาวะดื้ออินซูลิน
ควรปรับพฤติกรรมการกินให้มีสารอาหารครบถ้วน เพิ่มโปรตีนและไฟเบอร์ ลดน้ำตาล จัดเวลาอาหารให้สม่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และฝึกกินแบบมีสติ (Mindful Eating) เพื่อควบคุมความอยากอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ
- อาหารที่ช่วยให้อิ่มนาน เช่น ถั่วต่าง ๆ ไข่ต้ม ผักผลไม้ไฟเบอร์สูง
- เครื่องดื่มที่ช่วยลดความอยากอาหาร เช่น ชาเขียว น้ำเปล่า
บทสรุป
อาการหิวบ่อยหรือหิวเร็วนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งด้านพฤติกรรมการกิน การทำงานของระบบเผาผลาญ ฮอร์โมน รวมถึงสภาวะอารมณ์และสุขภาพจิตใจ ในบางกรณี อาจเป็นเพียงผลจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ก็ไม่ควรมองข้ามความเป็นไปได้ที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพผิดปกติ เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ทำงานเกิน หรือภาวะเมตาบอลิกอื่น ๆ
การทำความเข้าใจสาเหตุของอาการหิวบ่อยจะช่วยให้สามารถวางแผนแก้ไขได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับพฤติกรรมการกิน เพิ่มโปรตีนและไฟเบอร์ ลดน้ำตาล จัดเวลาอาหารให้เหมาะสม ออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ การฝึกกินแบบมีสติ (Mindful Eating) ยังช่วยให้ควบคุมความอยากอาหารและป้องกันการรับประทานอาหารเกินความจำเป็นได้
อย่างไรก็ตาม หากอาการหิวบ่อยมีความรุนแรง หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลดผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก หรือรู้สึกเหนื่อยล้า ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ