รู้ทัน โรคหัวใจ มีอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันอย่างไร

โรคหัวใจ

โรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประเทศ ด้วยความซับซ้อนของกลไกการทำงานของหัวใจร่วมกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การรับประทานอาหารไขมันสูง ความเครียดเรื้อรัง การสูบบุหรี่ หรือแม้กระทั่งภาวะอ้วน ทำให้โรคหัวใจกลายเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหัวใจในหลายมิติ ทั้งอาการที่ควรสังเกต สาเหตุที่พบบ่อย ความเชื่อมโยงกับโรคอ้วน การวินิจฉัย การรักษา รวมถึงคำถามที่หลายคนสงสัย เช่น “โรคหัวใจรักษาหายไหม?” หรือ “ปวดแขนซ้ายเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือเปล่า?”

เป้าหมายของเราไม่ใช่เพียงให้ข้อมูล แต่คือการส่งต่อความรู้เชิงลึกจากมุมมองทางการแพทย์ เพื่อให้คุณสามารถเฝ้าระวัง ดูแลตัวเอง และคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคหัวใจ มีอะไรบ้าง?

ภาวะของโรคหัวใจมีได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัวและผลกระทบต่อร่างกายแตกต่างกัน ดังนี้

1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease)

เกิดจากการสะสมของไขมันและคราบพลัคในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบหรือตัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน (Angina) หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Heart Attack)

2. โรคลิ้นหัวใจรั่ว/ตีบ (Heart Valve Regurgitation)

ลิ้นหัวใจมีหน้าที่ควบคุมทิศทางการไหลของเลือดภายในหัวใจ หากลิ้นหัวใจมีความผิดปกติ เช่น รั่วหรือตีบ อาจทำให้เลือดไหลย้อนหรือไหลผ่านได้ไม่ดี ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiomyopathy)

ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจหนา แข็ง หรืออ่อนแรงผิดปกติ ส่งผลให้การบีบตัวของหัวใจลดลง มักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือปัจจัยภายนอก เช่น แอลกอฮอล์หรือยา

4. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

เกิดจากการส่งสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติภายในหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าหรือเร็วเกินไป หนึ่งในรูปแบบที่พบบ่อยคือ PVC (Premature Ventricular Contraction)

โรคหัวใจ PVC อันตรายไหม?

ภาวะ PVC คือการเต้นของหัวใจห้องล่างที่เร็วเกินไปหรือเกิดขึ้นก่อนเวลา มักพบได้ในคนทั่วไปและส่วนมากไม่เป็นอันตราย หากไม่มีโรคหัวใจพื้นฐานร่วม แต่หากมีอาการแน่นหน้าอก หน้ามืด หรือหัวใจเต้นแรงร่วมด้วย ควรตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยแพทย์เฉพาะทาง

5. ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย ขาบวม หายใจลำบาก โดยเฉพาะเวลานอนราบ เป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

โรคหัวใจ อาการที่ควรรู้

อาการของโรคหัวใจอาจมีตั้งแต่แบบเฉียบพลันจนถึงเรื้อรัง ซึ่งในหลายกรณีผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเกิดความผิดปกติกับหัวใจ จนกระทั่งมีอาการชัดเจน ดังนี้

1. เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก

อาการคล้ายของหนักทับที่กลางอก ร้าวไปที่แขน คอ หรือกราม มักเกิดขึ้นขณะออกแรงหรือมีความเครียด อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย

2. หายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย

ผู้ป่วยอาจรู้สึกหอบเหนื่อยจากการทำกิจกรรมเบา ๆ หรือแม้แต่ขณะพัก เป็นอาการที่พบได้ในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวหรือโรคลิ้นหัวใจ

3. ใจสั่น

อาจรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง หรือเต้นขาดตอน อาการนี้สัมพันธ์กับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

4. อาการที่อาจไม่ชัดเจน

บางครั้งอาการของโรคหัวใจไม่ได้เกิดขึ้นที่บริเวณทรวงอกโดยตรง เช่น

  • ปวดไหล่ซ้าย โรคหัวใจ อาการเจ็บอาจร้าวจากอกไปที่ไหล่ซ้าย
  • ปวดแขนซ้าย โรคหัวใจ แขนซ้ายอาจปวดแบบร้าวลึก ไม่ใช่เฉพาะที่กล้ามเนื้อ
  • แขนซ้ายชา โรคหัวใจ อาการชาหรือรู้สึกเหมือนไม่มีแรง อาจเกี่ยวข้องกับการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ

การสังเกตอาการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

การตรวจวินิจฉัยที่จำเป็น

แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง (Echocardiogram)
  • การตรวจสมรรถภาพหัวใจ (Exercise Stress Test)
  • การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram)

หากมีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว

โรคหัวใจ สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยง

โรคหัวใจสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น พันธุกรรม โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

1. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและอาหาร

  • การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง โซเดียม และน้ำตาลในปริมาณมาก
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • การไม่ออกกำลังกายและการนอนหลับไม่เพียงพอ
  • ความเครียดเรื้อรัง ส่งผลต่อฮอร์โมนและความดันโลหิต

2. ไขมันสะสมและโรคร่วม

  • ภาวะไขมันในเลือดสูงทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ
  • ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • โรคเบาหวานส่งผลต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย รวมถึงหัวใจ

3. พันธุกรรมและอายุ

  • หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ โอกาสเสี่ยงจะสูงขึ้น
  • อายุที่มากขึ้นส่งผลให้หลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมตามธรรมชาติ

4. โรคหัวใจกับภาวะอ้วน

โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กระตุ้นการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อไขมันสะสมบริเวณรอบเอวและช่องท้อง กลไกที่เกิดขึ้น ได้แก่

  • ไขมันสะสมรอบอวัยวะภายใน ส่งผลต่อความสามารถในการทำงานของหัวใจ
  • เพิ่มระดับไขมันเลว (LDL) และลดไขมันดี (HDL)
  • เพิ่มภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งสัมพันธ์กับเบาหวาน
  • ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้นเพื่อรองรับมวลร่างกายที่เพิ่มขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก  การรักษาโรคอ้วน

การรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเลือกใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม และลดโอกาสในการเกิดโรคหัวใจในระยะยาว

โรคหัวใจ ระยะสุดท้าย อาการเป็นอย่างไร?

เมื่อโรคหัวใจเข้าสู่ระยะสุดท้ายหรือภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นรุนแรง ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการชัดเจนขึ้นเนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป ลักษณะของผู้ป่วยมักมีอาการเรื้อรังที่รบกวนชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะของโรคหัวใจในระยะรุนแรง

  • เหนื่อยแม้ในขณะพัก ไม่สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้โดยไม่หอบ
  • หายใจลำบากเมื่อนอนราบ ต้องลุกขึ้นนั่งนอน
  • ขาบวม หน้าท้องบวม จากการคั่งของน้ำในร่างกาย
  • ใจสั่น แน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง
  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

คุณภาพชีวิตและการดูแลแบบประคับประคอง

ผู้ป่วยในระยะนี้ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจ การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) มุ่งเน้นที่การควบคุมอาการและยืดคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุด โดยอาจรวมถึง

  • การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือด ยาควบคุมจังหวะหัวใจ
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดเกลือ ดื่มน้ำในปริมาณจำกัด
  • การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และการดูแลโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ

โรคหัวใจ ระยะสุดท้าย อยู่ได้กี่ปี

ระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของผู้ป่วยโรคหัวใจระยะสุดท้ายนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค ประเภทของโรคหัวใจ การตอบสนองต่อการรักษา และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย บางรายสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปีหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ขณะที่บางรายอาจมีอาการทรุดเร็วในระยะเวลาไม่นาน จึงควรมีการประเมินอย่างต่อเนื่องโดยแพทย์ผู้ดูแล

โรคหัวใจ รักษาหายไหม?

แม้ว่าโรคหัวใจส่วนใหญ่จะไม่สามารถ “หายขาด” ได้ในเชิงการแพทย์แบบแน่นอน แต่สามารถควบคุมและชะลอการดำเนินโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพหากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง

แนวทางการรักษาในปัจจุบันประกอบด้วย

  1. การใช้ยา ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด ยาขยายหลอดเลือด หรือยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เพื่อลดภาระของหัวใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  2. การรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด เช่น การสวนหลอดเลือด การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน การใส่ขดลวด (Stent) หรือการผ่าตัดบายพาสหัวใจ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
  3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การควบคุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลิกบุหรี่ ลดความเครียด และควบคุมน้ำหนัก

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำว่า “หายขาด”

หลายคนเข้าใจผิดว่าโรคหัวใจสามารถหายได้หากไม่มีอาการ แต่ในความจริงโรคหัวใจเป็นภาวะเรื้อรังที่ต้องการการติดตามและดูแลอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำหากไม่ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างเหมาะสม

เป้าหมายของการรักษาโรคหัวใจในปัจจุบันจึงเน้นที่การยืดอายุของผู้ป่วย เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในอนาคตมากกว่าการรักษาให้หายขาดแบบถาวร

การป้องกันโรคหัวใจ

แม้โรคหัวใจจะเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันได้หากเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ โดยมีแนวทางสำคัญดังต่อไปนี้

1. ควบคุมอาหาร

  • เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลา ถั่ว ผัก และผลไม้
  • ลดการบริโภคโซเดียม น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว
  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและของทอด

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • การออกกำลังกายช่วยควบคุมน้ำหนัก ปรับสมดุลความดันโลหิต และลดความเครียด

3. งดบุหรี่และแอลกอฮอล์

  • สารนิโคตินในบุหรี่ทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความดันโลหิต
  • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

4. ตรวจสุขภาพประจำปี

  • ตรวจความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด และระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ
  • หากมีโรคร่วม เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

5. จัดการความเครียด

  • ความเครียดเรื้อรังทำให้ฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) สูง ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  • การฝึกสมาธิ โยคะ หรือการพูดคุยกับคนใกล้ชิดสามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้

6. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

  • โรคอ้วนสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงของโรคหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อมีไขมันสะสมที่หน้าท้อง
  • หากมีภาวะอ้วนควรเข้ารับการประเมินและวางแผนการลดน้ำหนักอย่างเหมาะสม

การป้องกันโรคหัวใจไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

ระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของผู้ป่วยโรคหัวใจระยะสุดท้ายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ การตอบสนองต่อการรักษา และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย บางรายอยู่ได้นานหลายปีหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ขณะที่บางรายอาจทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน

ผู้ป่วยโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารทอด อาหารเค็มจัด และอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ไส้กรอก เบคอน ขนมขบเคี้ยวสำเร็จรูป เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดอุดตันและความดันโลหิตสูง

ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ควรควบคุมปริมาณการดื่มน้ำ เนื่องจากการดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะคั่งน้ำในร่างกาย ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และอาจทำให้เกิดอาการบวม หรือหายใจลำบาก

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งโดยทั่วไปเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใช้ยาขับปัสสาวะหรือยาควบคุมหัวใจบางชนิด อาจเกิดความเสี่ยงจากระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคในปริมาณมาก

โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคหัวใจควรจำกัดปริมาณน้ำที่ดื่มอยู่ที่ประมาณ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งอาจพิจารณาจากภาวะหัวใจล้มเหลว ระดับโซเดียม และภาวะบวมน้ำ

ยาขับปัสสาวะเป็นยาที่ใช้เพื่อลดภาวะคั่งน้ำในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือบวม ออกฤทธิ์ให้ร่างกายขับน้ำส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ลดภาระที่หัวใจต้องทำงาน อย่างไรก็ตามต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำหรือเกลือแร่ผิดสมดุล

บทสรุป

โรคหัวใจเป็นภัยเงียบที่หลายคนอาจมองข้าม แต่สามารถป้องกันและควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเราเข้าใจถึงอาการ สาเหตุ และเลือกดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า