ขี้กลากเกิดจากอะไร ขี้กลากเป็นหนึ่งในปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย โรคผิวหนังชนิดนี้มีลักษณะเป็นผื่นวงกลมที่มีขุยบาง ๆ และอาการคัน ซึ่งสามารถลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ขี้กลากไม่ได้เกิดจากการไม่รักษาความสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากเชื้อราที่ชื่อ Dermatophytes ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นและอุณหภูมิสูง
การเข้าใจต้นเหตุที่แท้จริงของขี้กลากมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรค แต่ยังช่วยให้เราสามารถจัดการและรักษาได้อย่างถูกต้อง หากปล่อยปละละเลย โรคนี้อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและลดความมั่นใจของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม การจัดการขี้กลากไม่ใช่เรื่องยากหากเรามีความรู้และเลือกใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม มาทำความเข้าใจกันว่าขี้กลากเกิดจากอะไร และมีวิธีจัดการที่ถูกต้องอย่างไรเพื่อป้องกันและรักษาให้หายขาด
ขี้กลากคืออะไร
ขี้กลาก (Ringworm หรือ Tinea) เป็นโรคติดเชื้อราที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ซึ่งเชื้อราเหล่านี้มีความสามารถในการกินเคราติน (โปรตีนที่พบในผิวหนัง เส้นผม และเล็บ) เป็นอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติบนผิวหนัง ส่วนคำว่า กลาก มักใช้เรียกโรคที่เกิดจากลักษณะผื่นเป็นวงกลมคล้ายแหวน (Ringworm) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของโรคนี้อย่างหนึ่ง
ชื่อของโรคกลากเปลี่ยนไปตามบริเวณที่เชื้อลุกลาม เช่น
- Tinea corporis : กลากที่ลำตัว แขน หรือขา
- Tinea capitis : กลากที่หนังศีรษะ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะผมร่วงเป็นหย่อม
- Tinea pedis (ฮ่องกงฟุต) : กลากที่เท้า มักพบระหว่างนิ้วเท้า
- Tinea cruris : กลากที่ขาหนีบ พบได้บ่อยในผู้ชายหรือผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น
สาเหตุสำคัญของการเกิดขี้กลาก
ขี้กลากไม่ได้เกิดจาก ขี้ อย่างที่เข้าใจกันในชื่อเล่น แต่มาจากการติดเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ความชื้น ความร้อน หรือบริเวณที่ขาดอากาศถ่ายเท นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่กระตุ้นให้เกิดขี้กลากได้ง่ายขึ้น ดังนี้
1. เชื้อรา Dermatophytes
เชื้อราประเภทนี้มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน สัตว์ หรือแม้แต่ในร่างกายของคนที่เป็นพาหะ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
- Trichophyton : พบได้บ่อยในคนและสัตว์
- Epidermophyton : มักพบในดินและพื้นผิวต่าง ๆ
- Microsporum : พบในสัตว์เลี้ยงและคน
เชื้อเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรง เช่น ผิวหนังสู่ผิวหนัง หรือผ่านวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าขนหนู เสื้อผ้า รองเท้า หรืออุปกรณ์กีฬา นอกจากนี้ เชื้อยังสามารถแพร่จากสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขหรือแมว ที่ติดเชื้อสู่คนได้
2. สภาพแวดล้อมและปัจจัยเสี่ยง
- ความชื้น : เช่น การสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นหรือไม่แห้งสนิท
- อุณหภูมิอุ่น : เชื้อราจะเติบโตได้ดีในสภาพร่างกายที่อบอุ่น เช่น ในรอยพับของผิวหนัง
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ : เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- สุขอนามัยไม่ดี : เช่น ไม่อาบน้ำหลังการออกกำลังกาย หรือใส่เสื้อผ้าซ้ำ ๆ ที่ไม่ได้ซัก
- สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่า : การสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อโดยไม่มีการป้องกัน
3. การใช้สิ่งของร่วมกัน
เสื้อผ้า เครื่องนอน รองเท้า หรืออุปกรณ์กีฬา หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี อาจเป็นหนึ่งในตัวกลางที่นำเชื้อรามาสู่ผิวหนังได้
อาการของขี้กลากที่ควรรู้
ลักษณะอาการของขี้กลากขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิด แต่โดยทั่วไปจะมีลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ง่าย ดังนี้
- ผื่นวงกลมแดงคล้ายแหวน : ผื่นมักเริ่มเป็นวงกลมหรือวงรี ขอบผื่นมีลักษณะนูนแดงหรือสะเก็ดที่เห็นได้ชัด ตรงกลางอาจดูปกติหรือแห้งลอก
- อาการคัน : เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในบริเวณที่ชื้น อับ หรือมีเหงื่อออกมาก อาการคันของคนท้อง อาจจะแตกต่างกันออกไปในกรณีนี้
- การลอกของผิวหนัง : อาจพบลักษณะผิวลอกเป็นแผ่น โดยเฉพาะระหว่างนิ้วเท้าหรือในรอยพับต่าง ๆ
- ผมร่วงเป็นหย่อม : หากเกิดบริเวณหนังศีรษะ ผมในบริเวณนั้นจะขาดง่ายและมีลักษณะเป็นหย่อม ๆ
- ตุ่มน้ำหรือแผลน้ำเหลือง : หากมีการติดเชื้อทุติยภูมิหรือเชื้อราเติบโตมากขึ้น อาจเกิดตุ่มน้ำหรือแผลเปิดร่วมด้วย
หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกับประวัติการสัมผัสสัตว์หรือสถานที่ที่อาจมีเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง
วิธีรักษาขี้กลากให้หายขาด
การรักษาขี้กลากให้หายขาดมีวิธีการรักษาดังนี้
1. การใช้ยาต้านเชื้อรา
อุปกรณ์หลักในการรักษาขี้กลากคือยาต้านเชื้อรา ซึ่งมีทั้งแบบครีมทาภายนอกและยารับประทาน
- ยาทาเฉพาะที่ : เช่น Clotrimazole, Terbinafine, Ketoconazole ใช้ทาวันละ 1-2 ครั้งบริเวณที่เป็นผื่น ต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์
- ยารับประทาน : ใช้ในกรณีที่การติดเชื้อรุนแรง เช่น ผื่นลุกลาม หนังศีรษะ หรือเล็บ ยาเช่น Griseofulvin หรือ Itraconazole อาจจำเป็น โดยต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์
2. การดูแลผิวหนัง
- รักษาความสะอาดของผิวหนังโดยอาบน้ำด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ
- ซับผิวให้แห้งโดยเฉพาะบริเวณที่มีรอยพับ
- หลีกเลี่ยงการเกาผื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
3. การป้องกันการแพร่เชื้อ
- เปลี่ยนและซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู และเครื่องนอนบ่อย ๆ ด้วยน้ำร้อน
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
วิธีป้องกันขี้กลากไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันโรคขี้กลากทำได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
1. ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย
- อาบน้ำเป็นประจำ : ควรอาบน้ำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหงื่อออกมาก เช่น หลังการออกกำลังกาย หรือการทำงานในที่ร้อนชื้น เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อรา
- เช็ดตัวให้แห้งสนิท : หลังอาบน้ำ ต้องเช็ดตัวให้แห้งทันที โดยเฉพาะในบริเวณที่มักจะมีความชื้น เช่น ขาหนีบ รักแร้ และซอกนิ้วเท้า เพราะความชื้นเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสม : เลือกสบู่ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อรา หรือสบู่ที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค
2. เลือกสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดแน่น : เสื้อผ้ารัดแน่นหรือผลิตจากวัสดุที่ไม่ระบายอากาศ ทำให้เกิดความอับชื้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา
- สวมเสื้อผ้าที่สะอาด : ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน และหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่สกปรกหรือเหม็นอับ เพราะเชื้อราสามารถเติบโตในเสื้อผ้าที่มีความชื้น
- เลือกเสื้อผ้าระบายอากาศได้ดี : ใช้ผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย แทนผ้าใยสังเคราะห์ ที่อาจทำให้เกิดการสะสมของเหงื่อและความอับชื้น
3. ดูแลเท้าและรองเท้า
- ทำความสะอาดรองเท้าเป็นประจำ : นำรองเท้าไปตากแดดหรือทำความสะอาดบ่อยครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะ : เช่น ห้องน้ำรวม สระว่ายน้ำ หรือฟิตเนส ซึ่งอาจเป็นแหล่งเชื้อรา
- ใช้ถุงเท้าสะอาดและแห้ง : เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และเลือกถุงเท้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี
4. การดูแลสัตว์เลี้ยง (หากมี)
- ตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ : เชื้อราที่ทำให้เกิดขี้กลากสามารถติดต่อจากสัตว์เลี้ยงมาสู่คนได้ การพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่มีอาการผิดปกติ : เช่น ขนร่วงเป็นหย่อม มีแผล หรือมีสะเก็ด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรา
5. ระมัดระวังการสัมผัสและการแพร่เชื้อ
- หลีกเลี่ยงสัมผัสผื่นหรือแผลของผู้อื่น : การสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้ออาจทำให้เชื้อราติดต่อมายังตัวคุณ
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น : เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หวี หรือหมวก ซึ่งอาจมีเชื้อราปนเปื้อน
สรุป
ขี้กลากเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา พบได้ทั่วไปและแพร่กระจายง่ายหากไม่ระมัดระวัง อาการเด่นชัดคือผื่นวงกลมแดงและอาการคัน ซึ่งหากดูแลสุขอนามัยและได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาต้านเชื้อรา โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ การป้องกันด้วยวิธีการรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงช่วยลดโอกาสการเกิดซ้ำและการแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบว่ามีผื่นที่เข้าข่ายขี้กลาก อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น.
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย