อาหารเป็นพิษเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งมีอาการที่สามารถระบุได้ง่ายเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย โดยสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนเข้ามา การรับประทานอาหารที่มีความสะอาดและประสิทธิภาพมีความสำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะที่เกี่ยวกับอาหารที่เป็นพิษในช่วงเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว การเลือกซื้อและเตรียมอาหารอย่างรอบคอบ รวมถึงการเก็บรักษาอาหารให้ถูกวิธี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่รักในช่วงเวลานี้
อาหารเป็นพิษ คืออะไร
อาหารเป็นพิษคือสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคหรือสารพิษปนเปื้อนอยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องเดินและอาการป่วยอื่น ๆ ได้
อาหารเป็นพิษ สาเหตุเกิดจากอะไร
อาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค สารเคมี โลหะหนัก เชื้อแบคทีเรียจากเนื้อสัตว์ พืชผักที่ปรุงสุก หรือดิบ รวมถึงอาหารกระป๋อง อาหารทะเล หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษจนทำให้ปวดเอวข้างขวาได้ เช่นเดียวกับเชื้อโรคที่สามารถเกิดขึ้นจากอาหารเหล่านี้ได้ด้วย
อาการแบบนี้สงสัย “อาหารเป็นพิษ”
อาการที่กล่าวถึงเป็นไปได้ว่าเป็นผลจากการรับประทานอาหารเป็นพิษ ซึ่งสามารถระบุได้จากอาการดังนี้:
- มีไข้และปวดศีรษะ
- มีคลื่นไส้และอาเจียน
- ปวดท้อง
- การถ่ายอุจจาระบ่อยเกินวันละ 3 ครั้ง
- ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
- มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และกระหายน้ำ อาจมีการถ่ายเป็นเลือดหรือถ่ายปนมูกด้วย และอาจพบว่าหลายคนที่รับประทานอาหารเดียวกันมีอาการเป็นพิษพร้อมกันหรือต่อเนื่องไปในวันต่อมา
อาหารเป็นพิษ กินคาร์บอนหรือยาปฏิชีวนะ หายไหม
การรักษาอาการอาหารเป็นพิษในรายที่ไม่รุนแรง มักจะหายได้เองเนื่องจากร่างกายมีระบบขับเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนออกมาพร้อมกับอุจจาระหรืออาเจียน ดังนั้นหากมีอาการท้องเสียไม่ควรทานยาหยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคถูกกักเก็บในร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการท้องเสียมาก ถ่ายเหลวมากกว่า 6 ครั้งต่อวัน ถ่ายมีเลือดหรือเป็นน้ำซาวข้าว อาเจียนรุนแรง อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ปากคอแห้ง หรือมีอาการหน้ามืดร่วมด้วย ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
การรักษาอาการอาหารเป็นพิษไม่จำเป็นต้องใช้คาร์บอนหรือยาปฏิชีวนะอย่างเสมอไป เนื่องจากส่วนใหญ่ของเคสนั้นสามารถหายได้ด้วยตัวเอง แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงและมีภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จะต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม แพทย์อาจจะให้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อช่วยรักษาอาการได้อย่างเหมาะสม
อาการท้องเสียอาจเกิดขึ้นจากโรคอื่น ๆ เช่น อุจจาระร่วง โรคบิด หรืออาการอหิวาตกโรค ดังนั้นหากมีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
อาหารเป็นพิษ กี่วันหาย
โดยปกติแล้วอาการอาหารเป็นพิษที่ไม่รุนแรงจะหายได้เองในช่วง 24-48 ชั่วโมง แต่หากยังมีอาการต่อเนื่องเกิน 48 ชั่วโมง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคและป้องกันอาการรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอาเจียนเองเพราะอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดไว้ได้
วิธีการดูแลตนเองเมื่ออาหารเป็นพิษ
เมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษ สามารถดูแลตนเองได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ และรับประทานยาแก้คลื่นไส้
- งดอาหารเผ็ด-เปรี้ยวจัด อาหารประเภทนม ผลไม้ อาหารสุกๆ ดิบๆ และอาหารหมักดอง
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุก และทานอาหารเหลว ซึ่งย่อยง่าย
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนให้มากขึ้น โดยงดการทำกิจกรรมหนัก
- หากอาการไม่ดีขึ้น มีอาการท้องร่วงรุนแรง หรือมีไข้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วและป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้ในขณะเดียวกัน
อาหารเป็นพิษ กินอะไรได้บ้าง
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการอาหารเป็นพิษควรกินอาหารที่เป็นเนื้ออ่อน ๆ และย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ต้มจืด กล้วย น้ำมะพร้าว ผักต้ม ขนมปัง และอาหารรสจืด เพื่อลดภาระให้กับระบบทางเดินอาหารขณะที่ร่างกายกำลังฟื้นตัวจากอาการป่วย เป็นต้น
อาหารเป็นพิษ ห้ามกินอะไร
เมื่อพูดถึงอาหารเป็นพิษ มีรายการอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันการเสี่ยงต่อการเป็นพิษได้แก่
- อาหารที่มีกะทิ เช่น แกงต่าง ๆ ขนมหวานที่มีการใช้กะทิในการทำ หรือราดน้ำกะทิ เนื่องจากมีโอกาสเสียง่าย
- ส้มตำ และยำต่าง ๆ บางร้านอาจใช้ปลาร้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ถั่วลิสงขึ้นรา หรือกุ้งแห้งที่มีสารเคมีใส่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้
- ขนมจีนน้ำยาต่าง ๆ เส้นขนมจีนทำจากแป้งซึ่งมีโอกาสบูดง่าย รวมถึงน้ำยากะทิที่เก็บได้ไม่นาน และผักเครื่องเคียงที่ทานสด ๆ ซึ่งอาจล้างไม่สะอาดพอ
- อาหารทะเล ควรเลือกทานอาหารทะเลที่สด ๆ และปรุงให้สุก หากมีกลิ่นเหม็นคาวหรือมีสีผิดปกติ ไม่ควรทาน
- สลัด การทานผักสด ๆ อาจมีโอกาสติดเชื้อมาจากขนส่งหรือภาชนะที่ใส่ ดังนั้นควรล้างผักด้วยน้ำให้สะอาดก่อนการทานเสมอ
- น้ำและน้ำแข็ง กระบวนการทำน้ำแข็งบางครั้งอาจไม่สะอาด และมีสารเคมีต่างๆ ติดอยู่ในก้อนน้ำแข็ง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย และส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารได้ ในช่วงเวลาที่อากาศร้อน การรับประทานอาหารควรปฏิบัติตามหลัก “สุก ร้อน สะอาด” เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ และเป็นการป้องกันอาหารเป็นพิษได้ ที่สำคัญควรล้างมือให้สะอาดก่อนการทานอาหารทุกครั้ง
เราสามารถป้องกันอาการอาหารเป็นพิษได้
เราสามารถป้องกันอาการอาหารเป็นพิษได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ดูแลสุขอนามัยด้วยการรับประทานอาหารที่ร้อน ช้อนกลาง และล้างมืออย่างสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มทุกครั้งก่อนการรับประทานอาหาร
- ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังออกจากห้องน้ำทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารค้างคืน โดยเฉพาะอาหารที่มีกะทิ เนื่องจากมีโอกาสเสียง่ายมาก
- ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนการรับประทาน โดยใช้น้ำไหลหรือน้ำด่างทับทิมเพื่อความปลอดภัย
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ และไม่ควรทิ้งเนื้อสดไว้นอกตู้เย็น เพื่อป้องกันการเพิ่มเชื้อแบคทีเรียในอาหาร
- แยกอาหารดิบและอาหารสุกออกจากกันอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู และสัตว์ชนิดอื่น ๆ
สรุป
หลัก ๆ แล้วการป้องกันอาการอาหารเป็นพิษคือการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของอาหารที่รับประทานเข้าไป และเลือกรับประทานอาหารที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน เช่น การปรุงอาหารให้สุกใหม่ ๆ หรือการอุ่นอาหารที่ทำไว้ก่อนการทานอีกทีเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อโรคอีกครั้ง ดังนั้นควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารเป็นพิษเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ๆ
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย