การดูแลฝีด้วยตนเองมีวิธีหลายแบบที่สามารถทำได้ง่าย ๆ และมักเหมาะสำหรับฝีที่มีขนาดเล็กหรือไม่รุนแรง การดูแลฝีด้วยตนเองช่วยลดอาการเจ็บปวด ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และช่วยให้ฝีดีขึ้นได้ด้วย เมื่อฝีมีอาการรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรับการดูแลเพิ่มเติม หลายคนอาจมีคำถามว่าเป็นฝีกี่วันหาย วันนี้เราหาคำตอบมาให้แล้ว แต่ก่อนที่จะไปรู้ว่ากี่วันหาย มาดูสาเหตุของการเกิดฝีกันก่อนดีกว่า
ฝีคืออะไร ทำความรู้จักก่อนรักษา
ฝี (abscess) เป็นก้อนเนื้อเยื่อที่มีการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยภายในก้อนจะมีหนองสะสม ฝีสามารถเกิดได้ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย มีขนาดตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่ อาการของฝีทั่วไป ได้แก่ บวม แดง ร้อน เจ็บปวด อาจมีไข้และรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเป็นอาการของการติดเชื้อ หากเป็นฝีเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง หลายคนคงอยากรู้ว่าเป็นฝีกี่วันหาย อาการอาจดีขึ้นเองได้ แต่ถ้าเป็นฝีภายในร่างกาย จะมีความเสี่ยงมากกว่า ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถแบ่งฝีได้เป็น 2 ประเภทตามตำแหน่งที่เกิด คือ
- ฝีผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อที่รากผมหรือรากขน อาจเกิดที่เต้านมของผู้ให้นมบุตร หรือที่ต่อมใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศหญิง เรียกว่าฝีต่อมบาร์โธลิน มีอาการบวม แดง เจ็บปวด
- ฝีภายในร่างกาย เกิดขึ้นในอวัยวะหรือบริเวณว่างภายใน มักเป็นผลจากการติดเชื้อของอวัยวะนั้น ๆ เช่น ฝีในตับจากติดเชื้อในตับ หนองในปากจากฟันผุ อาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฝีเกิด
สาเหตุของการเกิดฝี
ฝีเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Staphylococcus การติดเชื้อจะเริ่มต้นที่รูขุมขน และลามลงไปในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป ฝีสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้หากมีการสัมผัสกับหนอง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝีได้ง่ายขึ้น ได้แก่
- แผลติดเชื้อหรือการรักษาสุขอนามัยที่ไม่ดี
- สวมใส่เสื้อผ้าที่คับแน่นเกินไป
- สัมผัสกับสารเคมีหรือเครื่องสำอางบางชนิด
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
นอกจากนี้ ฝีอาจเกิดขึ้นได้ง่ายจากรูขุมขนที่อักเสบ โดยการระคายเคืองหรือการออกเหงื่อมากเกินไปสามารถทำให้อาการแย่ลงได้ การดูแลรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีจะช่วยลดโอกาสเกิดฝีได้
อาการที่พบได้เมื่อเป็นฝี
ฝีเริ่มต้นจากแผลเล็ก ๆ ที่เจ็บแปลบและโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนขนาดใหญ่ ในช่วงแรกฝีมักมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งถึงหนึ่งนิ้ว และพบได้บริเวณคอ ใบหน้า เอว ขาหนีบ ใต้วงแขน และก้นกบ ระดับความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นเมื่อฝีโตขึ้น ฝีจะอยู่ลึกในชั้นผิวหนังและค่อย ๆ ทะลุออกมาที่ผิวหนังชั้นนอก หนองจะมีสีขาว และอาจมีเลือดออกหลังจากฝีแตก หลังฝีแตก อาการปวดจะดีขึ้น แต่อาจยังมีรอยแดงและบวมค้างอยู่หลายวันหรือหลายสัปดาห์ และทำให้เกิดแผลเป็นได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เป็นฝีกี่วันหาย เชื้อโรคอาจแพร่กระจายสู่กระแสเลือดและลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
วิธีรักษาฝีด้วยตัวเอง ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องพบแพทย์
สิ่งสำคัญคือไม่ควรบีบหรือเจาะฝีด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นๆ ของผิวหนัง ควรใช้วิธีการดังต่อไปนี้
- ประคบร้อน ช่วยลดอาการบวม โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นวางบริเวณฝี 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง ทำจนฝีดีขึ้น ประมาณ 10 วัน
- ทำความสะอาดบริเวณฝีด้วยสบู่และน้ำอุ่นวันละ 2 ครั้ง แล้วเช็ดให้แห้ง หลีกเลี่ยงการสัมผัส และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส
- ใช้แผ่นปิดแผลหรือผ้าก๊อซปิดฝีหลังล้างทำความสะอาด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- ประคบฝีด้วยน้ำขมิ้นสด ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและลดอักเสบ แต่หากแพ้ให้หยุดใช้ทันที
- พอกฝีด้วยกระเทียมสด ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย อาจผสมน้ำผึ้งเพื่อลดกลิ่นและระคายเคือง
- หยดน้ำมันละหุ่งลงบนฝี เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย แต่หากระคายเคืองให้หยุดใช้
- หยดน้ำมันสะเดาลงบนฝี ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าและต้านเชื้อแบคทีเรีย แต่หากระคายเคืองให้หยุดใช้
- ทาฝีด้วยสารสกัดจากน้ำมัน Tea Tree ซึ่งยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ แต่หากระคายเคืองให้หยุดใช้
- รับประทานยาแก้ปวดและลดอักเสบ เช่น อะเซตามิโนเฟน หรือไอบูโพรเฟน เพื่อบรรเทาอาการปวดและไข้จากฝี
รักษาฝีด้วยตัวเองไม่หาย ต้องเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์
การวินิจฉัยฝีสามารถทำได้ผ่านการตรวจสอบจากภายนอกของรอยโรค หรืออาจเป็นการสอบถามอาการว่าเป็นฝีกี่วันหายเจ็บปวดมากน้อยเพียงใด และสังเกตอาการบวมแดง ร้อนของเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง รวมถึงวัดขนาดของตุ่มว่ามีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตรหรือครึ่งนิ้วหรือไม่ และมีอาการไข้ในระหว่างการติดเชื้อร่วมด้วยหรือเปล่า
หากคุณพบว่าตนเองมีตุ่มคล้ายกับฝี หรือมีอาการที่ใกล้เคียงจากที่กล่าวมา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการต่อไป ซึ่งขั้นตอนการวินิจฉัยจะเริ่มจากสอบถามประวัติสุขภาพ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น และตรวจร่างกายในบริเวณที่เกิดฝีอย่างละเอียดด้วยวิธีต่อไปนี้
- ตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์
- การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan (Computerised Tomography)
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI Scan (Magnetic Resonance Imaging) แต่มักจะตรวจในกรณีที่ฝีเกิดบริเวณอวัยวะภายใน
วิธีรักษาฝีจากแพทย์ผิวหนัง
การรักษาฝีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยมีหลายวิธีหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับขนาดและความรุนแรงของฝี การรักษาจะถูกกำหนดขึ้นตามอาการบนฝีและสภาพร่างกายของผู้ป่วย
- หากฝีมีขนาดเล็กและอาการไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยสามารถรักษาด้วยการดูแลตนเองได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝีโดยตรง หรือการบีบที่อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังเส้นเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
- สำหรับฝีที่มีขนาดใหญ่และอาการปวดรุนแรง การรักษาจะต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ โดยบางครั้งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อบนฝี หรืออาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาหนองออกจากฝี ทั้งนี้ การตรวจรักษาและการรับวินิจฉัยจากแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝี
เพื่อป้องกันฝีที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดคำถาม เป็นฝีกี่วันหาย มีหลักการที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงอย่างสำคัญ ได้แก่การดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกให้แข็งแรง โดยการทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสมต่อร่างกาย
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังกายที่เหมาะสมและเพียงพอต่อร่างกาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยการให้ร่างกายมีเวลาพักผ่อนเพียงพอเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
- หมั่นดูแลรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเข้าทางเชื้อโรคให้กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
เป็นฝีกี่วันหาย ฝีเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อย มักเกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งจะมีลักษณะเป็นก้อนนูนแดงแล้วลามเป็นหนองได้ หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาฝีด้วยตนเองสามารถทำได้หลายวิธีดังที่เราได้กล่าวไปข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากฝีมีขนาดใหญ่หรืออาการรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย