ทุก ๆ เดือนผู้หญิงจะมีเลือดออกทางช่องคลอดตามปกติ ซึ่งมักเรียกว่าประจำเดือน แต่หากมีเลือดออกมาในช่วงที่ไม่เป็นประจำเดือน หรือมากกว่าปกติ หรือมีลักษณะกะปริบกะปรอย นั้นอาจเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้ามไปโดยไม่สนใจ เนื่องจากอาจเป็นเครื่องหมายของภัยที่อาจเกิดขึ้นหรือโรคร้ายที่กำลังเริ่มต้นอยู่
หลาย ๆ ครั้งเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บ อาจเป็นเครื่องหมายของปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น เนื้องอกในมดลูกหลังจากตั้งครรภ์ หรือมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เหตุผลของปัญหานี้สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งความรุนแรงของปัญหานั้นจะสามารถระบุได้ก็ต่อเมื่อไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
แบบไหนที่เรียกว่า เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
ประจำเดือนเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกเดือน โดยจะมีเลือดที่ออกมาพร้อมกับเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกชิ้นเล็ก ๆ ออกจากช่องคลอด ระยะเวลาที่เป็นประจำเดือนจะอยู่ในช่วง 3-8 วัน และมักจะเกิดขึ้นทุก 24-35 วัน อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น
- การมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดในช่วงที่ไม่มีการมีประจำเดือน
- การมีปริมาณเลือดที่ออกมามากเกินไปในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน
- หรือการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังเกี่ยวกับภาวะเลือดออกผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่องคลอดได้
การมีประจำเดือนที่มีปัญหาอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาสุขภาพทางร่างกายหรือจิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทานอาหารและการออกกำลังกาย การตรวจรักษาและปรึกษาแพทย์ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีประจำเดือนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นผ่านการรักษาทางยาหรือมีการแก้ไขทางตรงจากการผ่าตัด
เลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
การมีเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บ อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่มีภาวะไข่ไม่ตก หรือผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน หรือกำลังจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุลกันหรือมีความแปรปรวน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดมีการเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บได้
- อีกหนึ่งสาเหตุที่อาจเป็นต้นเหตุคือความผิดปกติทางระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น ภาวะท่อนำไข่อักเสบ หรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูก หรือปากมดลูก ซึ่งสามารถทำให้เกิดการออกเลือดทางช่องคลอดได้โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแสดงออก
- อันดับสุดท้ายคือมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งสามารถทำให้เกิดการเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่มีอาการปวดได้
การมีเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บเป็นอาการที่สำคัญและควรระวัง เนื่องจากอาจเป็นเครื่องชี้ภาวะที่ต้องการการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อความแน่นอนในการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ดังนั้น หากพบว่ามีการออกเลือดทางช่องคลอดโดยไม่มีความเจ็บปวด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
หากสงสัยว่ามีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ควรทำอย่างไร ?
- บันทึกวันที่และเวลาที่เกิดอาการเลือดออกผิดปกติ เพื่อให้แพทย์มีข้อมูลเพียงพอในการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
- จดบันทึกประวัติการมีประจำเดือนย้อนหลัง รวมถึงอาการอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น อาการปวดท้อง หรืออาการอื่นที่เกี่ยวกับระบบการเจริญพันธุ์
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับอาการเลือดออกผิดปกติ รวมถึงประวัติการเจริญพันธุ์และประวัติสุขภาพทั่วไป
- การตรวจร่างกายอาจจำเป็นต้องทำ เช่น ตรวจภายใน หรือการส่งต่อไปยังการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจอุ้งเชิงกราน การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หรือการตรวจเลือด
- การตรวจพิเศษอาจจำเป็นต้องทำ เพื่อหาสาเหตุของการเลือดออกผิดปกติในโพรงมดลูก เช่น การเก็บชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อหาภาวะเซลล์ผิดปกติ
เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดอย่างไร ควรมาพบแพทย์
เลือดออกผิดปกติที่ช่องคลอดเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิงทั้งหลาย แต่มันกลับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาที่ต้องการความสนใจและการรักษาอย่างเร่งด่วน การระบุลักษณะของเลือดที่ออกอย่างระมัดระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถช่วยให้แพทย์มีข้อมูลที่สำคัญในการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อพบเลือดออกผิดปกติที่ช่องคลอด ควรจดบันทึกลักษณะของเลือดที่ออก เช่น สี เป็นตัวอย่าง เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินสภาพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังควรบันทึกปริมาณเลือดที่ออก รวมถึงระยะเวลาที่เลือดไหลออกมา และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตกขาว ปวดท้อง อาการทางจิตใจ หรืออาการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ผู้หญิงที่พบเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บควรพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้
- ผู้หญิงที่ไม่มีประจำเดือนหรือมีปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือนแต่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- ผู้หญิงที่มีประจำเดือนปกติแต่มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ และมีเลือดออกมาเป็นลิ่มหรือมีปริมาณมาก
- ผู้หญิงที่มีประจำเดือนในปริมาณมากขึ้นหรือมีระยะเวลาของประจำเดือนนานขึ้นกว่าปกติ และมีอาการในการใช้ผ้าอนามัยมากกว่าปกติ
- ผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องหรืออุ้งเชิงกรานรุนแรงระหว่างระยะเวลาประจำเดือน
- ผู้หญิงที่มีไข้ รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หรืออ่อนเพลียจากการเลือดออกอย่างมาก
การตรวจวินิจฉัยภาวะเลือดออกผิดปกติ
การตรวจวินิจฉัยภาวะเลือดออกผิดปกติในช่องคลอดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยผู้ที่พบว่ามีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป การวินิจฉัยโดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยการสอบถามประวัติการเจ็บป่วยและลักษณะของเลือดออกที่ช่องคลอด รวมถึงการตรวจร่างกายเพิ่มเติมและการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย วิธีการตรวจมีดังนี้
- เจาะเลือดเพื่อตรวจฮอร์โมนที่อาจมีผลต่อการมีเลือดออกผิดปกติ เช่น การตรวจระดับไทรอยด์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเลือดออกผิดปกติ
- การตรวจภายในช่องคลอด เพื่อค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นในปากมดลูกหรือส่วนอื่น ๆ ของช่องคลอด รวมถึงการใช้อัลตราซาวด์เพื่อตรวจสอบโพรงมดลูกและรังไข่
- การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูกด้วยเครื่องมือขนาดเล็ก (OFFICE HYSTEROSCOPY) เพื่อสำรวจภาวะผิดปกติภายในโพรงมดลูก ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยได้ถ้าการตรวจอื่น ๆ ไม่สามารถช่วยได้
- การตรวจวินิจฉัยเลือดออกผิดปกติที่ช่องคลอดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถรักษาโรคและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
รักษาอย่างไรให้หายจากภาวะเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บ
การรักษาอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสาเหตุของอาการเลือดออกที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละรายมีความแตกต่างกันไป ดังนั้น วิธีการรักษาจึงต้องเน้นที่การแก้ไขสาเหตุหลัก ๆ ที่เป็นเหตุการณ์ของอาการเลือดออกด้วย โดยมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมและความรุนแรงของสภาวะของผู้ป่วยดังต่อไปนี้
- การรักษาทั่วไป : เป็นการปรับพฤติกรรมทั่วไปของผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมให้ร่างกายมีสมดุลที่ดีขึ้น เช่น การให้เวลาในการพักผ่อนเพียงพอ การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม
- การรักษาด้วยยา : การใช้ยาเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญในบางกรณี เช่น การให้ยาฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยควบคุมอาการเลือดออกและป้องกันการเกิดซ้ำของอาการ
- การรักษาเฉพาะ : ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์แล้วพบว่ามีรอยโรคผิดปกติหรือมีโรคมะเร็ง เป็นต้น ผู้ป่วยอาจต้องรับการรักษาเฉพาะตามความเหมาะสม เช่น การผ่าตัดเพื่อลบเนื้อเยื่อที่เป็นอันตราย การทำเคมีบำบัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง หรือการฉายแสงเพื่อรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
เมื่อพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดสีแดงสดไม่เจ็บโดยไม่เป็นปกติของรอบเดือน มีเลือดออกมากหรือกะปริดกะปรอย หรือมีกลิ่นหรือลักษณะที่แปลกประหลาด รวมทั้งมีอาการอื่น ๆ ควรพบแพทย์โดยเร็วเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย