อาการไข้หวัดใหญ่ สามารถมีความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางรายอาจมีอาการเพียงไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีน้ำมูก ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การรู้จักอาการของตนเองว่าเป็นอย่างไร และเมื่อใดควรไปพบแพทย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งวันนี้เราจะมาบอกถึงอาการของไข้หวัดใหญ่ที่ควรระวัง และเมื่อใดที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างเหมาะสมเมื่อเกิดโรคไข้หวัดใหญ่กับตัวเองหรือคนรอบตัว
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่
- คนทั่วไปอาจสัมผัสเชื้อไวรัสได้จากละอองฝอยในอากาศ เมื่อผู้ติดเชื้อไอ จาม หรือพูดคุย คนทั่วไปอาจหายใจเอาเชื้อเข้าไปหรือสัมผัสเชื้อบนพื้นผิว เช่น มือถือ คีย์บอร์ด
- ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ 1 วันก่อนมีอาการไข้หวัดใหญ่ และ 5 วันหลังมีอาการ ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำจะแพร่เชื้อได้นานกว่า
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ หากได้รับวัคซีนหรือเคยป่วยมาก่อน ร่างกายมักมีภูมิต้านทาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภูมิต้านทานจะลดลง
- หากสัมผัสเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ร่างกายไม่เคยพบมาก่อน แอนติบอดีเดิมจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้
ไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อได้อย่างไร ?
- เชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่งได้โดยการหายใจเอาละอองฝอย น้ำมูก หรือเสมหะของผู้ติดเชื้อเข้าไป เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุจมูก ตา และปาก
- การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ช้อน หลอดน้ำ จากการจูบ เป็นต้น
- การที่มือสัมผัสเชื้อแล้วไปขยี้ตา หรือเข้าปาก
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่
- เด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี และผู้ใหญ่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
- อาศัยหรือทำงานในที่แออัด มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจาก
- การรักษาโรคมะเร็ง
- โรคมะเร็งเม็ดเลือด
- โรคเอชไอวี / เอดส์
- การปลูกถ่ายอวัยวะ
- การใช้สเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน
- มีโรคเรื้อรัง เช่น
- โรคเบาหวาน
- โรคหอบหืด
- โรคหัวใจ
- โรคตับ
- โรคเลือด
- โรคระบบประสาท
- กระบวนการทำงานทางชีวเคมีผิดปกติ
- ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
- การใช้แอสไพรินในระยะยาวในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี อาจทำให้เป็นโรคเรย์ (Reye’s disease) เป็นโรคที่มี ความผิดปกติของตับร่วมกับสมอง ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
- หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะระหว่างไตรมาสที่ 2 หรือ 3
- โรคอ้วน
อาการไข้หวัดใหญ่ที่พบได้บ่อย
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบบ่อย และมักไม่มีอันตรายเมื่อไม่มีโรคแทรกซ้อนเข้ามา เริ่มต้นด้วยระยะฟักตัวที่ใช้เวลา 1 – 4 วัน โดยเฉลี่ย 2 วัน ซึ่งมักมีอาการดังนี้
- อาการอ่อนเพลียรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
- เบื่ออาหารและคลื่นไส้
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ปวดตามแขน ขา ข้อต่าง ๆ และรอบตา รวมถึงความเมื่อยลงทั่วตัว
- ไข้สูงระหว่าง 39-40 องศาเซลเซียส
- เจ็บคอและคอแดง มีการไหลของน้ำมูกใส ๆ
- ไอแห้งและตาแดง
- อาจมีอาการอาเจียนหรือท้องเดินร่วมกับไข้เป็นเวลา 2-4 วัน ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลง แต่อาการคัดจมูกและคออักเสบอาจยังคงอยู่ โดยส่วนใหญ่จะหายไปใน 1 สัปดาห์
ผู้ที่มีโรคเรื้อรังมักมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น
- โรคหัวใจ อาจเกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจซึ่งทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อย หอบ หรือมีอาการหัวใจวาย
- ระบบประสาท อาจพบการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองซึ่งทำให้มีอาการปวดศีรษะรุนแรงและซึมลง
- ระบบหายใจ อาจมีการอักเสบของหลอดลมและปอดซึ่งทำให้มีอาการแน่นหน้าอกและเหนื่อย
แม้ว่าอาการของไข้หวัดใหญ่จะหายได้ในไม่กี่วัน แต่บางรายอาจมีอาการปวดตามตัวติดต่อนานถึง 2 สัปดาห์ และบางครั้งอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากอาการปอดบวมหรือโรคหัวใจได้
เด็กมีอาการไข้หวัดใหญ่แบบไหน ที่ควรมาพบแพทย์
- ไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส แม้จะใช้ยาลดไข้แล้ว
- หายใจเหนื่อยหอบ หรือหายใจลำบาก
- อาการยืดเยื้อเกิน 7 วัน
- มือเท้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวซีด
- เด็กดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารลดลง
- เด็กซึม อ่อนเพลีย ไม่อยากเล่น
- ไข้ลด แต่หายใจมีอาการผิดปกติ
ผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่แบบไหน ควรมาพบแพทย์
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย เป็นเวลานานกว่า 24-48 ชั่วโมง
- ไข้สูงเกิน 24-48 ชั่วโมง
- เจ็บหรือแน่นหน้าอก
- หน้ามืด วิงเวียน สับสน
- อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้
ระยะติดต่อของไข้หวัดใหญ่
- ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 1 วันก่อนมีอาการไข้หวัดใหญ่ และต่อเนื่อง 5 วันหลังมีอาการ
- เด็กอาจแพร่เชื้อได้นานถึง 6 วันก่อนมีอาการ และ 10 วันหลังมีอาการ
- การติดเชื้อแบคทีเรียอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม มีฝีในปอด มีหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
- หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อมักมีอาการรุนแรง อาจทำให้แท้งได้
การตรวจวินิจฉัยโรคของแพทย์ เมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่
แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อหาลักษณะอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยอาจทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด ผู้ป่วยอาจติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 พร้อมกันได้ จึงอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยทั้งสองโรค
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่
- พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อบรรเทาอาการ
- หากมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อรุนแรง อาจให้ยาต้านไวรัส
- ยาต้านไวรัสอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
- รับประทานยาพร้อมอาหารช่วยลดอาการข้างเคียงได้
การดูแลตัวเองที่บ้าน เมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่
- ดื่มน้ำมาก ๆ เช่น น้ำผลไม้ น้ำเปล่า หรือซุป เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
- พักผ่อนให้เพียงพอและนอนหลับ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้เชื้อไวรัสได้ดีขึ้น
- รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ แต่ห้ามใช้แอสไพรินในเด็กและวัยรุ่น
- พักรักษาตัวอยู่บ้านจนกว่าจะหายดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- ล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้าน
การป้องกันเพื่อไม่ให้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่
- หลีกเลี่ยงการใช้มือเข้าตา ปาก จมูก
- ห้ามใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่นใกล้ชิด
- เมื่อป่วยให้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
- เมื่อไอหรือจามให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูก
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันโรค
การป้องกันที่ดีคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ตายแล้ว โดยฉีดที่แขนปีละ 1 ครั้ง หลังฉีด 2 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันจึงจะเพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ ผู้ที่แพ้โปรตีนจากไข่ ห้ามฉีดวัคซีนชนิดนี้ ควรเลือกฉีดให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรครุนแรง เช่น ผู้อายุมากกว่า 50 ปี ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต, หัวใจ, เบาหวาน หญิงตั้งครรภ์, ผู้อยู่ในสถานพยาบาลผู้สูงอายุ, เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์, สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย, นักเรียนอยู่รวมกัน, ผู้ที่จะไปยังพื้นที่ระบาด, และผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงติดเชื้อ
ผลข้างเคียงของวัคซีนไข้หวัดใหญ่
หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่อาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด และหายได้เองภายใน 2 วัน อาการทั่วไป ได้แก่ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว มักเกิดขึ้นภายใน 6-12 ชั่วโมงหลังฉีด และอยู่ได้ 1-2 วัน บางรายอาจมีผื่นลมพิษหรือริมฝีปากบวมได้
สรุป
หากคุณเห็นว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจป่วยรุนแรง และมีความเสี่ยงที่จะมีอาการไข้หวัดใหญ่ โดยมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวทั่วร่างกาย มีน้ำมูก ให้รีบพบแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ สำหรับบุคคลทั่วไปหากมีอาการป่วยและไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย