อาการ “ปวดท้องน้อย” ถือเป็นอาการเตือนภัยที่สตรีหลายคนมักมองข้าม โดยเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดาทั่วไปหรือปวดประจำเดือน ทว่าอาการปวดท้องเล็กน้อยนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระบบสืบพันธุ์เท่านั้น
การปวดท้องน้อย อาจเกี่ยวข้องกับระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย 4 ระบบ ได้แก่ ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบลำไส้ ระบบสืบพันธุ์ และระบบกล้ามเนื้อ ดังนั้นหากปรากฏอาการปวดท้องน้อยที่ไม่รุนแรง แต่เรื้อรังหรือเป็นประจำ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจสอบ และวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิง สัญญาณเตือนที่ต้องใส่ใจ
อาการปวดท้องน้อยหรือ Pelvic pain เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิง ซึ่งหลายคนมักคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดาหรือเกี่ยวข้องกับประจำเดือน ทว่าความเป็นจริงแล้ว อาการนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติที่ร้ายแรงกว่าที่คิดไว้ อาการปวดท้องน้อย เป็นอาการปวดตั้งแต่บริเวณใต้สะดือลงไปจนถึงหัวหน่าว ทั้งปวดเฉียบพลันและปวดเรื้อรัง อาจเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับประจำเดือนก็ได้ ซึ่งมีเงื่อนไขบางประการที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ เช่น อาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน ปวดไม่หายหลังกินยา ปวดเรื้อรังนานเกิน 6 เดือน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เป็นต้น
สาเหตุของอาการปวด ได้แก่ โรคทางลำไส้ ทางเดินอาหาร ปัสสาวะ กล้ามเนื้อ หรือโรคทางนรีเวช เช่น เนื้องอกมดลูก ถุงน้ำในรังไข่ ฯลฯ ดังนั้นอาการปวดท้องน้อยหน่วงๆ จึงควรตระหนักและไม่ละเลย เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
สาเหตุการปวดท้องน้อยเรื้อรังในผู้หญิง
การปวดท้องน้อยเรื้อรังในผู้หญิง มักเกิดจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้
- เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
- ถุงน้ำในรังไข่หรือช็อกโกแลต ซิสต์ (Ovarian cysts)
- พังผืดในช่องท้อง โดยเฉพาะพังผืดที่ยึดติดระหว่างลำไส้ใหญ่ส่วนปลายกับผนังช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุถึง 38% ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง
- มดลูกและปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง
- เส้นเลือดโป่งพองในอุ้งเชิงกราน (Pelvic congestion)
- เนื้องอกมดลูก เช่น ก้อนไมโอมา หรือเยื่อบุมดลูกแทรกในกล้ามเนื้อมดลูก
- เนื้องอกและมะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome)
ดังนั้นหากมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
ปวดท้องน้อย สัญญาณเตือนจากโรคเหล่านี้
อาการปวดท้องน้อยข้างซ้ายหรือขวาอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
- ระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ เนื้องอกมดลูก หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มักมีอาการปวดประจำเดือนมาก ประจำเดือนมามาก ปวดร้าวไปยังสะโพก ก้น ขา
- ระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่ว มักมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะผิดปกติ
- ระบบลำไส้ ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- ระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ กล้ามเนื้ออักเสบ มักเกิดจากการใช้แรงมากเกินไป ทำให้ปวดบริเวณหน้าท้องไปจนถึงกระเบนเหน็บ
ดังนั้น หากมีอาการปวดท้องน้อยที่ผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคโดยเร็ว
การรักษาอาการปวดท้องน้อยจากเนื้องอกมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
การรักษาอาการปวดท้องน้อยจากสาเหตุดังกล่าว สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การใช้ยา ได้แก่ ยาลดปวด ยาคุมกำเนิด และยาฮอร์โมน เป็นต้น โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้เหมาะสมกับอาการ
2. การผ่าตัด หากอาการไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา หรือมีความจำเป็นต้องเอาก้อนเนื้อออก โดยแบ่งเป็นผ่าตัดผ่านกล้องหรือเปิดหน้าท้อง
3. กายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการปวดเกร็ง และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
นอกจากนี้ ความร่วมมือของผู้ป่วยในการให้รายละเอียดอาการแก่แพทย์อย่างชัดเจนจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำและเลือกการรักษาที่เหมาะสม ทำให้การรักษาประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
วิธีป้องกันอาการปวดท้องน้อย
อาการปวดท้องน้อยเป็นอาการที่สามารถป้องกันได้ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
- สำหรับผู้หญิงที่ปวดท้องประจำเดือน ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพื่อให้มีประจำเดือนสม่ำเสมอ ระหว่างมีประจำเดือนควรทานอาหารอ่อนย่อยง่าย
- สำหรับสาเหตุอื่น ควรมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ถูกต้อง และมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติที่ทำให้เกิดอาการปวด
- ผู้หญิงควรไปตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
ด้วยการปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันอาการปวดท้องน้อยได้เป็นอย่างดี
สรุปปวดท้องน้อย สัญญาณอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิง ถือเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในอวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นผู้หญิงไม่ควรมองข้าม แต่ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของโรค และอายุของผู้ป่วย โดยปัจจุบันแพทย์มักใช้การผ่าตัดผ่านกล้อง เช่น การเลาะพังผืด การผ่าตัดปีกมดลูก การเลาะถุงน้ำรังไข่ หรือผ่าตัดมดลูกและปีกมดลูก ซึ่งทำให้สามารถรักษาได้ทันท่วงทีโดยไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าท้อง ดังนั้นอาการปวดท้องน้อยจึงไม่ควรละเลย และควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องทันท่วงที
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย