ปัญหาสุขภาพเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น มีอยู่มากมายซึ่งส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งเวลาในการรักษา ไม่ว่าตอนนี้คุณกำลังประสบปัญหาหรือมีภาวะสุ่มเสี่ยงที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราลองมาทำความเข้าใจกับปัญหา โรคภัย พฤติกรรมต่าง ๆ และวิธีการรักษาที่เกี่ยวข้องกับภาวะอันตรายเหล่านี้ เพื่อที่หลีกเลี่ยงและควบคุมตัวเองไม่ให้อยู่ในภาวะโรคอ้วนและเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา
โรคอ้วน ภาวะที่เมื่อมีปริมาณไขมันในร่างกายที่มากเกินไป
โรคอ้วนเกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณไขมันในร่างกายที่มากเกินไป เราสามารถวัดระดับความอ้วนได้โดยใช้ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index – BMI) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูงของบุคคล โรคอ้วนเป็นหนึ่งในสาเหตุของหลายโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและมะเร็ง ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคอ้วนมีทั้งปัจจัยพันธุกรรม สภาพแวดล้อม อาหารที่บริโภค ปัจจัยส่วนบุคคล และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
การลดน้ำหนักสามารถช่วยรักษาและป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน โดยการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพนั้น แต่ละคนอาจต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ตามสภาพบุคคลไป การรักษาหลัก ๆ มักจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการลดน้ำหนัก ทั้งนี้ แพทย์อาจให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในการรักษาโรคอ้วน โดยการให้ยาหรือขั้นตอนการรักษาอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการลดน้ำหนัก
จะทราบได้อย่างไรว่ามีภาวะเสี่ยงโรคอ้วน
โดยทั่วไปแล้ว โรคอ้วน จะถูกกำหนดโดยดัชนีมวลกายหรือ BMI (Body Mass Index) โดยค่า BMI มากกว่า 25 kg/m² ถือเป็น “โรคอ้วน” สำหรับค่า BMI คือผลรวมระหว่างน้ำหนักและส่วนสูงของร่างกาย และมีหลายระดับ ดังนี้
- ค่า BMI น้อยกว่า 18.5 kg/m² ถือว่า “น้ำหนักต่ำกว่าปกติ” และผู้ที่มีค่า BMI ในช่วงนี้อาจเผชิญกับปัญหาทางสุขภาพเช่นภาวะทุพโภชนาการหรือความอ่อนแรง
- ค่า BMI ระหว่าง 23.0 – 24.9 kg/m² ถือว่า “น้ำหนักเกิน” และผู้ที่มีค่า BMI ในช่วงนี้อาจต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ค่า BMI มากกว่า 25 kg/m² ถือว่า “โรคอ้วน” และผู้ที่มีค่า BMI ในช่วงนี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคมะเร็ง เป็นต้น
นอกจากนี้ การวัดรอบเอวก็เป็นอีกวิธีเสริมที่ใช้ในการประเมินความอ้วน โดยรอบเอวที่มากกว่า 80 ซม. สำหรับชายและ 90 ซม. สำหรับหญิงถือว่าเป็นค่าที่เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ค่า BMI และการวัดรอบเอวมีข้อจำกัดในการประเมินความอ้วนและความเสี่ยงต่อโรค เนื่องจากพิจารณาเฉพาะน้ำหนักและส่วนสูง เพียงอย่างเดียว และไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่นการกระทำกายภาพ การรับประทานอาหาร ประวัติสุขภาพและพันธุกรรม ดังนั้น เพื่อที่จะรู้ว่าคุณมีโรคอ้วนหรือไม่และเพื่อดูแลสุขภาพของคุณอย่างเหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้ชำนาญการด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำและประเมินความเสี่ยงที่เฉพาะบุคคล
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
ความอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพร้ายที่มีหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่มีส่วนร่วมในการเกิดโรคอ้วน ดังนี้
ปัจจัยภายใน (ภายในร่างกาย)
- อิทธิพลทางพันธุกรรม พันธุกรรมมีบทบาทในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและไขมันในร่างกาย รวมถึงอาจมีส่วนในการควบคุมการเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่รับประทาน
- ทางเลือกของไลฟ์สไตล์ พฤติกรรมและเลือกวิถีชีวิตมีผลมากในการสะสมไขมันเกินในร่างกาย สิ่งเหล่านี้รวมถึงการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เครื่องดื่มที่มีแคลอรี่สูง การขาดการออกกำลังกายและการไม่ควบคุมปริมาณอาหาร
- โรคและยาอื่น ๆ บางโรคและยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดโรคอ้วน รวมถึงยาต้านอาการชัก ยาเบาหวาน ยาต้านอาการซึมเศร้า สเตียรอยด์และเบต้า บล็อกเกอร์
- อายุ อายุมีผลในการเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบฮอร์โมน การเผาผลาญพลังงาน และปริมาณกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักตัว
- ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วนรวมถึงการตั้งครรภ์ การสูบบุหรี่ การนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด ไมโครไบโอม และความพยายามในการลดน้ำหนักอย่างไม่ถูกต้องในครั้งก่อน
ปัจจัยภายนอก (ภายนอกร่างกาย)
- รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น เนื้อ ไขมัน แป้ง และของหวาน อาหารเหล่านี้มีส่วนร่วมในการสะสมไขมันเกิน
- รับประทานไม่เป็นเวลา การกินจุบหรือกินจิบอย่างไม่เป็นเวลาอาจเพิ่มความสูงของระดับน้ำตาลในเลือดและการสะสมไขมัน
- การไม่ควบคุมปริมาณการออกกำลังกาย การขาดการออกกำลังกายหรือการนั่งเฉย ๆ นอนเฉย ๆ มีผลในการสะสมไขมันเกินในร่างกาย
โดยการรับรู้ การรักษาสุขภาพที่ดี การเลือกวิถีชีวิตที่สมดุลจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนและภาวะสุขภาพที่แย่ได้
ปัญหาสุขภาพเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น หรือ ภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วน
คนที่เป็นโรคอ้วนสามารถส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ โดยอาจจะส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงสามารถส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ โรคอ้วนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด การรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมและรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
มากไปกว่านั้น โรคอ้วนยังสามารถส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางนรีเวชและทางเพศ และอาจส่งผลต่อปัญหาเกี่ยวกับการหยุดหายใจขณะหลับ และโรคข้อเข่าเสื่อม การรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมและรับการดูแลสุขภาพสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเหล่านี้ลงได้ การปรึกษาแพทย์และรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ในคนที่เป็นโรคอ้วนได้
การวินิจฉัยโรคอ้วนทางการแพทย์ มีอะไรบ้าง
การทดสอบและวินิจฉัยโรคอ้วนมักมีขั้นตอนหลายขั้นตอนที่แพทย์อาจดำเนินการดังต่อไปนี้
- การทบทวนประวัติสุขภาพ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณรวมถึงประวัติการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ประวัติโรคประจำตัว การใช้ยาและประวัติครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
- การตรวจร่างกาย การตรวจร่างกายเพื่อตรวจสอบสุขภาพทั่วไปของคุณ เช่นความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ภาวะสมรรถนะเชิงกายและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อโรคอ้วน
- การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) เป็นวิธีที่ใช้คำนวณน้ำหนักตัวเทียบกับส่วนสูงเพื่อกำหนดว่าคุณอยู่ในกลุ่มน้ำหนักใด ๆ และอยู่ในเกณฑ์อ้วนหรือไม่
- การวัดรอบเอว การวัดรอบเอวมาช่วยในการประเมินการคุมมวลกายและความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน
- ตรวจสอบปัญหาสุขภาพอื่น ๆ แพทย์อาจตรวจสอบปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคอ้วน เช่น ปัญหาของระบบต่อมไร้ท่อ โรคตับ โรคเบาหวานและอื่น ๆ
- การตรวจเลือด การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด และค่าจุลภาคอื่น ๆ ที่มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ
การทดสอบเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคอ้วนและกำหนดแผนการรักษาหรือการบริหารจัดการโรคอ้วนที่เหมาะกับคุณในการลดน้ำหนักหรือรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้น
วิธีการรักษาโรคอ้วนทางการแพทย์
การตัดสินใจเรื่องการรักษาน้ำหนักควรเป็นผลมาจากการปรึกษาแพทย์ที่ชำนาญด้านสุขภาพ และควรจะให้คำแนะนำและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เนื่องจากการลดน้ำหนักเป็นกระบวนการที่ต้องมีการประเมินและการจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่ามีผลผ่านการตรวจจับและควบคุมโดยคนที่มีความรู้และความชำนาญในสุขภาพ โดยการลดน้ำหนักสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และในบางกรณีอาจต้องพิจารณาขั้นตอนการผ่าตัด หากเห็นว่าจำเป็น ได้แก่
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร ลดน้ำหนัก
ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก รักษาโรคอ้วน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยวิธีนี้มีมานานกว่า 20 ปีและได้รับการยอมรับในหลายประเทศ เช่นประเทศออสเตรเลีย ที่มีการดำเนินการผ่าตัดลดน้ำหนัก (bariatric surgery) มากกว่า 10,000 รายต่อปี และมีการครอบคลุมโดยมีโปรแกรมประกันสุขภาพหลัก เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรปที่มีการดำเนินการผ่าตัดเพื่อลดความอ้วนฟรี เป็นเพราะว่าในระยะยาว การผ่าตัดสามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคและค่ายาที่เกิดจากความอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหยุดหายใจขณะหลับ และอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การผ่าตัดลดน้ำหนักไม่เพียงแค่ช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไข้ได้อย่างสิ้นเชิง ภายในเลยไม่ถึง 1 ปี คุณสามารถเห็นผลในการลดน้ำหนักจากขนาด XXL เป็นขนาด M ได้ และภาวะเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกับการผ่าตัดอาจจะหายไปด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการลดน้ำหนัก
ดังนั้น การผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบนี้เป็นวิธีลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพและมีผลลัพธ์ที่ดีตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงในระยะยาว เช่น ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไข้ให้ดีขึ้นได้ โดยวิธียอดนิยมในประเทศไทยคือการ ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบบายพาส (Gastric Bypass) และ Sleeve Xtra ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก
นอกจากนี้ยังมีวิธีเย็บกระเพาะ Overstitch’ เทคนิคที่ไม่ต้องผ่าตัดกระเพาะ ไร้แผลหน้าท้อง ฟื้นตัวเร็วอีกด้วย ทั้งนี้ ควรอยู่ภายใต้ดูแลและคำแนะนำของแพทย์และทีมแพทย์เมื่อคุณต้องการรักษาน้ำหนักหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารของคุณ เพื่อป้องกันอันตรายและรับการดูแลอย่างเหมาะสม
Laparoscopic and Endoscopic Bariatric Surgoen
เพื่อป้องกันน้ำหนักเกิน และเสี่ยงต่อ ปัญหาสุขภาพเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น การป้องกันไม่ให้น้ำหนักเกิน ควรดูแลตัวเองโดยการออกกำลังกายเป็นประจำ 45-60 นาทีต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่กระตุ้นการทานอาหารเสี่ยง และตรวจสอบน้ำหนักตัวเป็นประจำเพื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลง รวมถึงคงพฤติกรรมที่สม่ำเสมอเพื่อรักษาน้ำหนักตัวในระยะยาว
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ให้บริการเพื่อลูกค้าทุกท่าน ได้รับความพึงพอใจสูงสุด เราพัฒนาคุณภาพการรักษาและการบริการอย่างต่อเนื่อง