น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น หรือ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil) นั้นจะมีขบวนการผลิตที่เรียกว่า Cold Process หรือ Cold Pressed เพราะไม่มีการใช้ความร้อนเลย ทําให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพพิเศษ มีกลิ่นหอม รสชาติดี อุดมไปด้วยวิตามิน E และสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) และได้รับการกล่าวขวัญว่ามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ
ในน้ำมันมะพร้าว ประกอบด้วยสารอะไรบ้าง?
1. กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) ในน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันที่อิ่มตัวกว่า 90 %
- กรดลอริก (lauric acid) น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันจากพืชชนิดเดียวในโลกที่มีกรดลอริก อยู่ในปริมาณที่สูงมาก ประมาณ 48 – 53 % และมีคุณสมบัติพิเศษในการสร้างภูมิคุ้มกัน ฆ่าเชื้อโรค ช่วยลดน้ำหนัก
- กรดไขมันขนาดกลาง มีพลังงานปริมาณเฉลี่ยต่อกรัม 8.3 กิโลแคลอรี่
- กรดคาปริก (capric acid) ซึ่งแม้ว่าจะมีน้อยกว่ากรดลอริก คือ มีเพียง 6-7 % แต่ก็ช่วยเสริมประสิทธิภาพของกรดลอริก
2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid) แต่มีเพียง 9 %
3. วิตามินอี (vitamin E)
จากการศึกษาพบว่า ตัวไขมันที่อยู่ใน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เป็นไขมันอิ่มตัวที่มีลักษณะโครงสร้าง ที่แตกต่างจากไขมันอิ่มตัวที่พบในไขมันจากสัตว์ หรือน้ำมันปาล์ม ไขมันของน้ำมันมะพร้าว จะมีลักษณะของกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง (Medium chain fatty acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันดี
กรดไขมันมะพร้าว ยังมีส่วนช่วยให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น สามารถช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้แต่เดิม โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน รวมถึงโรคความดันโลหิตสูงตามมา
โดยเจ้าไขมันตัวนี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเมื่อเรารับประทานกรดไขมันขนาดกลางนี้เข้าไป ร่างกายจะสามารถดูดซึมที่ลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง และส่งผ่านไปที่ตับเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานภายใน 1 ชั่วโมง จึงไม่ทำให้เกิดไขมันสะสมตามร่างกาย
นอกจากผลของการช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญไขมันแล้ว กรดไขมันในมันมะพร้าว ยังสามารถช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การรับประทาน “น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น” เพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก จำเป็นที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารอย่างอื่น เพื่อควบคุมพลังงานที่ได้รับในแต่ละวันให้เหมาะสม
มีการศึกษาหนึ่งที่ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า กรดไขมันอิ่มตัวที่มีสายขนาดกลาง ที่ดูดซึมได้เร็วและเชื่อว่าไม่สะสมเป็นเนื้อเยื่อไขมันในร่างกาย ของน้ำมันมะพร้าวจะช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
โดยการทดลองอยู่ในประเทศบราซิล โดยให้ผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนลงพุง 40 คน อายุระหว่าง 20-40 ปี กลุ่มหนึ่งให้รับประทานน้ำมันถั่วเหลือง ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งรับประทานน้ำมันมะพร้าววันละ 30 มิลลิลิตร ร่วมกับรับประทานอาหารพลังงานต่ำ และออกกำลังกายโดยการเดิน 200 นาทีต่อสัปดาห์ในทั้ง 2 กลุ่ม เป็นเวลา 12 สัปดาห์
“พบว่าทั้งสองกลุ่มลดน้ำหนักและ BMI ลงได้ไม่ต่างกัน แต่กลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวมีเส้นรอบเอวลดลงมากกว่าเล็กน้อย”
ซึ่งการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก เมื่อใช้ร่วมกับการลดน้ำหนักตามมาตรฐานคือการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษานี้เป็นการศึกษาในระยะสั้นและขนาดเล็กเท่านั้น
ผลของ น้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น ต่อระดับไขมันในเลือด
จากการศึกษาในประเทศบราซิลข้างต้น กลุ่มที่ทานน้ำมันมะพร้าว เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับคอเลสเตอรอลรวม, LDL-c และไตรกลีเซอไรด์ แต่มีระดับ HDL-c เพิ่มขึ้น 7.03% เมื่อเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพระหว่างน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก และน้ำมันดอกคำฝอย พบว่า
- น้ำมันมะพร้าวทำให้ไขมันเลวชนิด LDL-C เพิ่มขึ้นประมาณ 10 มก./ดล.
- น้ำมันมะพร้าวทำให้ไขมันดีชนิด HDL-C เพิ่มขึ้นประมาณ 4 มก./ดล.
- น้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้น้ำหนักตัวและค่า BMI เปลี่ยนแปลง
- การที่ไขมันเลว (LDL-C) สูงขึ้นอาจจะเพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
จากข้อมูลดังกล่าว หากต้องการลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ น้ำมันมะพร้าวอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะว่าน้ำมันมะพร้าวเพิ่มไขมันดี (HDL-c) ได้ก็จริง แต่ไขมันเลว (LDL-c) ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ควรรับประทานตอนไหน ปริมาณเท่าไร?
การรับประทาน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ควรรับประทานในขณะที่ท้องว่าง เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน โดยปริมาณที่แนะนำในการรับประทานคือ 2 ช้อนโต๊ะ/วัน (ให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี่)
**แนะนำว่าปริมาณไขมันทั้งหมดต่อวันไม่เกินร้อยละ 30 ของแคลอรี่รวมตามที่สมาคมหัวใจของสหรัฐอเมริกาแนะนำ
แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อควบคุมน้ำหนัก หรือเพื่อลดไขมันในเลือด แต่ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็ควรรับประทานยาลดไขมันในเลือดที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
ลดน้ำหนักด้วยวิธีทางกายแพทย์ มีอะไรบ้าง?
คนที่มีปัญหาไขมันสะสม มีส่วนเกินตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ที่เกิจากการกินตามใจปาก กินอาหารประเภทแป้ง-น้ำตาล-ไขมัน มากเกินกว่าที่ร่างกายค้องการ และเมื่อกว่าจะรู้ตัวอีกทีน้ำหนักตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วซะแล้ว
เมื่อต้องหาวิธีลดน้ำหนัก ก็มักจะเริ่มจากการออกกำลังกายไปพร้อมกับการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร แต่ก็ต้องใช้เวลาตค่อนข้างนานกว่าจะลดน้ำหนักลงแต่ละขีด-แต่ละโล และบางครั้งผลลัพธ์ก็ไม่ได้แบบที่ตั้งใจไว้ หลายคนจึงหันมาหาตัวช่วยทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งมีความปลอดภัย เห็นผลชัดเจนและรวดเร็ว อย่างเช่น
Tesla Former :
เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มาช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ สลายไขมัน กระชับสัดส่วน ปั้นหุ่นเฟิร์ม โดยไม่ต้องผ่าตัด
ดูดไขมัน (Liposuction) :
เพื่อลดสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด และปรับรูปร่างให้เข้าที่สวยงาม ซึ่งจุดที่นิยมดูดไขมันคือ ดูดไขมันหน้าท้อง, ดูดไขมันต้นขา, ดูดไขมันต้นแขน, ดูดไขมันเอว ฯลฯ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการสะสมของไขมันเยอะที่สุดในร่างกาย
ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก :
การรักษานี้จะเหมาะกับคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ไม่สามารถออกกำลังกายหรือลดน้ำหนักด้วยตัวเองได้ เพราะมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งผ่าตัดกระเพาะนั้นจะช่วยทำให้น้ำหนักลดได้ดี ได้เร็ว เห็นผลชัดเจน รวมถึงได้สุขภาพที่ดีกลับคืนมา
Ref.
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง