ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่ายารักษาโควิด ต่างจากวัคซีนที่รักษาโควิด (แม้จะมีคำว่าวัคซีนรักษามะเร็งในบทความอื่นๆก็ตาม อันนั้นเป็นอีกเรื่อง ไว้วันหลังเล่าให้ฟังครับ)
วัคซีนใช้ป้องกันโรค ฉีดในคนที่ปกติ ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน โดยหลอกให้ร่างกายคิดว่ามีเชื้อโรคเข้ามา ไม่ว่าจะใช้วิธีเอาเชื้อที่ตายแล้วทั้งตัวฉีดเข้าไปก่อน เช่น วัคซีน sinovac หรือใช้เพียงส่วนประกอบของเชื้อฉีดเข้าไป เหมือนวัคซีนชนิดอื่นๆ เช่นแอสตร้าและไฟเซอร์
แต่ผลที่ได้นั้นเหมือนกันคือร่างกายไปจดจำว่าว่ามีเชื้อโรคเข้ามาแล้ว แล้วจึงสร้างภูมิขึ้นมาต้าน เมื่อมีการติดเชื้อขึ้นมาจริงๆภายหลัง คนที่มีภูมิจึงสามารถกำจัดเชื้อได้ก่อนคนที่มีภูมิ ส่วนยารักษาโควิดนั้นต่างกันไป ยามีหน้าที่ฆ่าไวรัสโดยตรง เสริมจากฤทธิ์ของวัคซีน
แต่เนื่องจากไวรัสโควิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์นำยาที่มีในโลกหลายร้อยชนิด มาศึกษาวิจัยจึงพบว่ายาหลาย ๆ ชนิด มีฤทธิ์ในการยับยั้งไวรัส COVID – 19 โดยมีกลไกยับยั้งเชื้อไวรัสที่แตกต่างกัน และได้นำยามากกว่า 1 ชนิดมาใช้ร่วมกันในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส COVID – 19 ในสถานการณ์เร่งด่วนในปัจจุบัน ได้แก่
- ยาต้านไวรัสเอชไอวีหรือยาต้านไวรัสเอดส์ เช่นlopinavir/ritonavir, darunavir + ritonavir
- ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ เช่นfavipiravir
- ยาต้านไวรัสอีโบลาร์หรือไวรัสซาร์ เช่นremdesivir
- ยาต้านมาลาเรีย เช่นchloroquine และ hydroxychloroquine (ปัจจุบันพบว่าไม่ได้ผล)
- ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่นazithromycin (ปัจจุบันพบว่าไม่ได้ผล)
- ยากดภูมิคุ้มกัน เช่นtocilizumab (ปัจจุบันรอข้อมูลว่าได้ผลหรือไม่)
- ยาสเตียรอยด์ เช่นmethylprednisolone
- ยาถ่ายพยาธิ เช่นivermectin (ปัจจุบันรอข้อมูลว่าได้ผลหรือไม่)
- สารอาหาร เช่นzinc (ปัจจุบันรอข้อมูลว่าได้ผลหรือไม่)
- น้ำเลือดที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกัน เช่นconvalescent plasma (ปัจจุบันพบว่าไม่ได้ผล)
- สารสกัดฟ้าทะลายโจร (รอข้อมูลที่แน่ชัด)
ดังนั้นจึงเห็นว่ายาที่เอามาใช้จริงๆในปัจจุบัน คือยาหมายเลข 2 ฟาริพิราเวียร์ (favipiravir) ที่กำลังประเทศไทยจะผลิตได้เองจากองค์การเภสัชกรรม โดยดัดแปลงมาจากยารักษาไวรัสไข้หวัดใหญ่ และยาหมายเลขที่1 ยาต้านไวรัสเอดสืและยาต้านไวรัสซาร์หมายเลข 3 เท่านั้น
อีกทั้งเรายังมีการให้ยาสเตียรอยด์ (หมายเลข 7) เพื่อลดการอักเสบของปอด จะเห็นว่ามียาเพียงสี่ขนานเท่านั้นเอง ณ เดือนมิถุนายน 2564 (อ้างอิงจากคำแนะนำของกรมควบคุมโรค) ส่วนยาอื่นๆ นั้น เคยใช้แล้วไม่ได้ผล หรือมีผลข้างเคียง ก็ทยอยเลิกใช้ไปหมดแล้ว
4 ตัวมีดังนี้
- Fariviravir
- remdesivir
- lopinavir/ritonavir
- ยาสเตียรอยด์
ส่วนยา Molnupiravir ที่มีข่าวกำลังอยู่ในการวิจัย ก็เหมือนยาอื่นๆครับ เดิมทีถูกผลิตมาจัดการไวรัสไข้หวัดใหญ่ ตอนนี้เอามาปรับให้ใช้กับโควิด หลายท่านอาจจะเห็นข่าวส่งต่อมาสักพักแล้ว สรุปของสรุป ณ วันที่ที่พิมพ์ ยานี้ใช้ไม่ได้ผลกับคนไข้อาการหนักในต้อง นอน รพ ใช้ได้เฉพาะคนที่มีอาการน้อยเท่านั้น ..ดังความหวังคนทั้งโลกไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังอยู่ขั้นตอนวิจัยในคนขั้นสุดท้ายในประเทศอินเดีย คงต้องปลายปีโน่น ถึงจะได้ใช้ครับ
ในภาวะที่วัคซีนก็ไม่ค่อยได้ผล ฉีดแล้วก็ยังติดเชื้อได้ ยาที่มีก็ไปยืมยารักษาโรคอื่นๆมาใช้ไปก่อนนั้น ไม่มีอะไรที่ป้องกันตัวเองได้ เท่ากับการใส่มาสก์ ล้างมือและอยู่ห่างคนอื่นๆสักพักไปก่อนจริงๆครับ
พญ. รัตตินันท์ ตรีรัตน์ (คุณหมอแต๋ม)
แพทย์ผู้ชำนาญด้านผิวพรรณและเลเซอร์
เกียรตินิยมด้านเวชศาสตร์ความงามจาก American Academy of Aesthetic Medicine
ประสบการณ์มากกว่า 20 ปี