การผ่าตัดกระเพาะ เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคอ้วนที่ได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับในทางการแพทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนขั้นรุนแรงและไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีทั่วไป
การผ่าตัดช่วยลดขนาดกระเพาะ ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลงและมีการควบคุมปริมาณแคลอรีที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิผล โดยศัลยแพทย์ที่มีทักษะจะดูแลคุณให้ปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน
งานวิจัยบางฉบับชี้ให้เห็นว่าการผ่าตัดกระเพาะอาหารสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่องและยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนได้เช่นกัน
การผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) คืออะไร
การผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) คือการผ่าตัดที่ช่วยลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนขั้นรุนแรง ซึ่งวิธีการนี้ออกแบบมาเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างของระบบทางเดินอาหาร
เช่น ลดขนาดกระเพาะอาหาร หรือเปลี่ยนเส้นทางการย่อยและดูดซึมอาหารในลำไส้เล็ก โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยลดปริมาณการรับประทานอาหาร ลดความอยากอาหาร และควบคุมการดูดซึมแคลอรีเข้าสู่ร่างกาย
การผ่าตัดลดน้ำหนักแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยที่พบได้บ่อยคือ การผ่าตัดกระเพาะแบบ Sleeve Gastrectomy ซึ่งทำการตัดกระเพาะออกบางส่วนเพื่อให้เหลือเป็นท่อเล็ก ๆ และการผ่าตัดแบบ Roux-en-Y Gastric Bypass ที่เป็นการปรับเส้นทางการย่อยอาหารใหม่ เพื่อลดการดูดซึมสารอาหาร
ทั้งนี้ ศัลยแพทย์ที่มีทักษะจะประเมินวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายโดยคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ
อีกทั้งการผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีทั่วไป เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย รวมถึงยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง
ผู้ที่สามารถทำการผ่าตัดกระเพาะได้ มีเกณฑ์อย่างไรบ้าง
การผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนขั้นรุนแรง และไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีทั่วไป เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ผู้ที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัด จึงควรมีคุณสมบัติและเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่าหรือเท่ากับ 40
ผู้ที่มี BMI สูงระดับนี้มักจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน เช่น โรคหัวใจ เบาหวานประเภท 2 และความดันโลหิตสูง
2. มี BMI ระหว่าง 35-39.9 และมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน
เช่น เบาหวานประเภท 2 ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) หรือโรคไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้อาจได้รับประโยชน์จากการผ่าตัดเพื่อช่วยควบคุมและลดความรุนแรงของโรคประจำตัว
3. ไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีการอื่น ๆ
การผ่าตัดลดน้ำหนักมักเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ที่ได้พยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาลดน้ำหนัก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
4. มีสุขภาพจิตที่พร้อมและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัด
ผู้ป่วยควรมีความเข้าใจถึงผลลัพธ์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด รวมถึงมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหลังการผ่าตัด เช่น การปรับพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการติดตามผลกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
5. ได้รับการประเมินและแนะนำจากแพทย์
ศัลยแพทย์และทีมแพทย์ผู้เกี่ยวข้องจะทำการประเมินความพร้อมของผู้ป่วย รวมถึงการตรวจสอบสุขภาพโดยรวมเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดและสามารถรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
การผ่าตัดลดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักอาจไม่ใช่ทางเลือกสำหรับทุกคน จึงจำเป็นต้องมีการประเมินและปรึกษากับแพทย์ผู้มีทักษะในการดูแลให้ปลอดภัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามเป้าหมายสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
วิธีการวัดร่างกายเมื่อเข้าสู่ภาวะอ้วน และเหตุผลที่ต้องลดน้ำหนัก
ภาวะอ้วน คือสถานะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภท 2 และโรคความดันโลหิตสูง การประเมินภาวะอ้วนมักจะใช้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นเครื่องมือในการวัด โดยสามารถวัดได้ด้วยวิธีดังนี้
การวัดภาวะอ้วน
- ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นการคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง ค่า BMI ถูกใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์ผอม ปกติ อ้วน หรืออ้วนขั้นรุนแรง โดยแบ่งเป็น
- ต่ำกว่า 18.5 = น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน
- 18.5-24.9 = น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- 25-29.9 = น้ำหนักเกิน
- 30 ขึ้นไป = เข้าสู่ภาวะอ้วน
- 40 ขึ้นไป = อ้วนขั้นรุนแรง
2. เส้นรอบเอว การวัดเส้นรอบเอวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ร่วมกับ BMI ในการประเมินความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับการสะสมของไขมันในช่องท้อง สำหรับผู้ชาย เส้นรอบเอวไม่ควรเกิน 102 เซนติเมตร และสำหรับผู้หญิงไม่ควรเกิน 88 เซนติเมตร
3. เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย การวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายช่วยให้ทราบถึงปริมาณไขมันที่สะสมในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือเฉพาะในการวัด เช่น การใช้เครื่องวัดไขมันในร่างกายหรือการสแกน DEXA
เหตุผลที่ต้องลดน้ำหนัก
- ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง ภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวานประเภท 2 การลดน้ำหนักช่วยลดและป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิต น้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ลดปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดข้อและปวดหลัง และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ
- เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง การลดน้ำหนักช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้รู้สึกดีกับรูปร่างและภาพลักษณ์ของตนเอง
- ยืดอายุขัยและเพิ่มคุณภาพชีวิต การมีน้ำหนักที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและช่วยให้มีชีวิตที่กระฉับกระเฉงและสุขภาพดีขึ้น
- ป้องกันการเสื่อมสภาพของข้อและกล้ามเนื้อ การลดน้ำหนักช่วยลดแรงกดทับบนข้อต่อ ลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพและการบาดเจ็บ
- ส่งเสริมสุขภาพจิต การลดน้ำหนักช่วยลดความเครียด ความรู้สึกไม่มั่นใจ และภาวะซึมเศร้า ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรพิจารณาการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ข้อดีของการผ่าตัดกระเพาะอาหารในการรักษาภาวะอ้วน
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะอ้วน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีการทั่วไป การผ่าตัดนี้มีประโยชน์หลายประการที่ส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ดังนี้
1. ช่วยลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
การผ่าตัดกระเพาะอาหารสามารถลดขนาดกระเพาะ ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลงและรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องและรักษาไว้ได้ในระยะยาว มากกว่าวิธีการลดน้ำหนักแบบทั่วไป
2. ลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน
ผู้ที่มีภาวะอ้วนมักมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง การผ่าตัดกระเพาะอาหารช่วยลดน้ำหนักและปรับปรุงการทำงานของร่างกาย ส่งผลให้ความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ลดลง
3. ปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิต
การลดน้ำหนักด้วยการผ่าตัดช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว ลดอาการปวดข้อ ปรับปรุงการหายใจและการนอนหลับ ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ส่งเสริมสุขภาพจิตและความมั่นใจในตนเอง
การลดน้ำหนักสำเร็จส่งผลดีต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์ของผู้ป่วย ช่วยลดความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับรูปร่าง และส่งเสริมสุขภาพจิตในด้านบวก
5. ช่วยปรับพฤติกรรมการกินและสร้างวินัยในการดูแลตัวเอง
การผ่าตัดกระเพาะอาหารไม่เพียงแต่ลดขนาดกระเพาะ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากทีมแพทย์ในการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6. ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
การรักษาภาวะอ้วนโดยการผ่าตัดกระเพาะอาหารมีส่วนช่วยในการยืดอายุขัยของผู้ป่วย เนื่องจากลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
การผ่าตัดกระเพาะอาหารจึงเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนขั้นรุนแรงและต้องการปรับปรุงสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยควรได้รับการดูแลและคำแนะนำจากแพทย์ผู้มีทักษะเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
7 วิธีผ่าตัดกระเพาะอาหารลดน้ำหนัก ที่ได้การยอมรับทางการแพทย์
ในปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมหลายวิธี ซึ่งแบ่งออกเป็นทั้งวิธีดั้งเดิมและวิธีใหม่ ๆ ที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ นี่คือ 7 วิธีหลักที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย ได้แก่
วิธีการดั้งเดิม
1. ใส่ห่วงรัดกระเพาะ (Gastric Banding)
ใส่ห่วงรัดกระเพาะ (Gastric Banding) วิธีนี้ใช้การใส่ห่วงรัดรอบกระเพาะเพื่อแบ่งกระเพาะออกเป็นสองส่วน ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลง ปัจจุบันวิธีนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนักเนื่องจากมีข้อจำกัดและผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน
2. การผ่าตัดกระเพาะอาหารด้วยเทคนิคแผลหน้าท้องรูเดียว (Single Port Surgery)
การผ่าตัดกระเพาะอาหารด้วยเทคนิคแผลหน้าท้องรูเดียว (Single Port Surgery) เป็นการผ่าตัดผ่านแผลขนาดเล็กเพียงรูเดียว ทำให้แผลหายเร็วและลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการลดน้ำหนักด้วยวิธีที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า
วิธีการผ่าตัดในปัจจุบัน
3. การผ่าตัดกระเพาะบางส่วนแบบสลีฟ (Gastric Sleeve)
ผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ (Gastric Sleeve) วิธีนี้เป็นการตัดส่วนใหญ่ของกระเพาะออกไป เหลือเป็นกระเพาะขนาดเล็กในรูปทรงท่อ วิธีนี้ช่วยลดความอยากอาหารและปริมาณการรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การผ่าตัดกระเพาะร่วมกับตัดต่อลำไส้แบบบายพาส (Gastric Bypass)
ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบบายพาส (Gastric Bypass) การผ่าตัดนี้ไม่เพียงแค่ลดขนาดกระเพาะ แต่ยังเปลี่ยนเส้นทางการย่อยอาหารบางส่วน ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลอรีและสารอาหารได้น้อยลง เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีสำหรับผู้ที่มีโรคอ้วนร่วมกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
อ่านเพิ่มเติม : ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบบายพาส (Gastric Bypass)5. การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบ Sleeve Plus (SG-PJB) (เทคนิคใหม่)
การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบ Sleeve Plus (SG-PJB) เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดที่พัฒนามาจากการผ่าตัดสลีฟ โดยเพิ่มการปรับโครงสร้างภายในกระเพาะและลำไส้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
” ผ่าตัดกระเพาะ แบบไหนดีที่สุด ? ”
ทั้งนี้ หากคุณยังมีข้อกังวลใจเกี่ยวกับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร คุณสามารถเลือกวิธีที่ไร้การผ่าตัดอย่าง เย็บกระเพาะอาหาร OverStitch หรือ กลืนบอลลูนในกระเพาะแทนก็ได้ โดยการรักษาอาจจะไม่ถาวร แต่ก็มีระยะเวลาในการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพได้นานนับปี
วิธีการผ่าตัดทั้ง 5 ข้อนี้จำเป็นต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลหลายวันและเหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากและมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง
วิธีการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด
6. OverStitch เย็บกระเพาะอาหารแบบส่องกล้องผ่านทางปาก (Endoscopic Sleeve Gastroplasty by OverStitch)
OverStitch เย็บกระเพาะอาหารแบบส่องกล้องผ่านทางปาก วิธีนี้ใช้การส่องกล้องทางปากเพื่อทำการเย็บกระเพาะด้วยไหมชนิดพิเศษ วิธีนี้ไม่มีการผ่าตัดและไร้แผลที่หน้าท้อง ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วและสามารถกลับไปทำกิจกรรมได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน
รีวิวผ่าตัดกระเพาะอาหารลดน้ำหนัก แบบ Overstitch
7. การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)
การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) หรือการกลืนบอลลูน วิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัด เพียงใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะเพื่อให้รู้สึกอิ่มเร็วและกินน้อยลง บอลลูนจะถูกใส่เข้าไปทางปากและสามารถเอาออกได้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการรักษา
ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ทีมศัลยแพทย์ของเรามีทักษะในการดูแลให้ปลอดภัยและสามารถทำการผ่าตัดในทุกเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น หากคุณกำลังพิจารณาว่าจะเลือกวิธีการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบใดที่เหมาะสมที่สุดกับตัวคุณ เราขอแนะนำให้ปรึกษากับศัลยแพทย์ของเราโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพของคุณอย่างเต็มที่
รายละเอียดการผ่าตัดกระเพาะ
เวลาผ่าตัด
3-6 ชั่วโมง
วิธีดมยาสลบ
โดยวิสัญญีแพทย์
นอนโรงพยาบาล
1 วัน
แผลเล็ก เจ็บน้อย
ฟื้นตัวเร็ว
ขั้นตอนและวิธีการของการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อการลดน้ำหนักเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะทางจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การผ่าตัดมักจะดำเนินการผ่านวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก ลดความเจ็บปวด และการฟื้นตัวเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดเปิดแบบดั้งเดิม ขั้นตอนหลัก ๆ ของการผ่าตัดกระเพาะอาหารมีดังนี้
- การให้ยาสลบ ผู้ป่วยจะได้รับการวางยาสลบทั่วไปเพื่อให้ไม่รู้สึกตัวและไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัด
- การส่องกล้องผ่านแผลขนาดเล็ก ศัลยแพทย์จะทำการส่องกล้องผ่านแผลขนาดเล็กบนหน้าท้อง โดยใช้กล้องเล็ก ๆ ที่มีแสงสว่างและเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก เพื่อดำเนินการผ่าตัด
- การผ่าตัดตามเทคนิคที่เลือก
- สำหรับการผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy) จะตัดส่วนใหญ่ของกระเพาะออกไป ทำให้เหลือกระเพาะในรูปทรงท่อขนาดเล็ก
- สำหรับการผ่าตัดแบบบายพาส (Gastric Bypass) ศัลยแพทย์จะทำการตัดกระเพาะให้เหลือเป็นกระเปาะเล็ก ๆ และต่อเข้ากับลำไส้เล็กเพื่อลดการดูดซึมสารอาหาร
- สำหรับการใส่บอลลูนหรือการเย็บกระเพาะด้วย OverStitch ไม่จำเป็นต้องตัดกระเพาะ แต่จะใช้วิธีการใส่หรือเย็บเพื่อปรับขนาดและการทำงานของกระเพาะ
- การปิดแผล
หลังจากการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะปิดแผลด้วยไหมเย็บหรือกาวชนิดพิเศษที่สามารถละลายได้เอง ผู้ป่วยจะถูกย้ายไปที่ห้องพักฟื้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
การเตรียมตัวที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การผ่าตัดกระเพาะอาหารประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปรึกษาศัลยแพทย์และทีมแพทย์ ปรับพฤติกรรมก่อนการผ่าตัด เป็นต้น
วิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดน้ำหนัก
หลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วและได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากการผ่าตัด เช่น ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ควบคุมการรับประทานอาหาร เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะ และการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดกระเพาะการพักฟื้นและการติดตามผลหลังการผ่าตัด
ในช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัด ผู้ป่วยอาจต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัดและสภาพร่างกาย ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก ๆ ในช่วงแรก รวมถึงการติดตามผลกับแพทย์ ดูแลแผลผ่าตัด การป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ดังนี้
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผ่าตัดกระเพาะ พักฟื้นกี่วัน และใช้เวลานานเท่าไรถึงจะกินได้ปกติคำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการและการออกกำลังกาย
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดลดน้ำหนักอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการผ่าตัด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และทีมสุขภาพเพื่อสนับสนุนการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ที่สุขภาพดีขึ้นในระยะยาว
การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักอันตรายไหม
การผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในการรักษาภาวะอ้วนที่ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้ด้วยวิธีการทั่วไป อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดนี้ยังมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งการทราบถึงความเสี่ยงและการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
การผ่าตัดกระเพาะในอดีต ต้องอย่าลืมว่าเป็นการผ่าตัดแบบเปิดช่องท้องขนาดใหญ่ แผลใหญ่ เจ็บมากและฟื้นตัวช้า อีกทั้งเกณฑ์เดิมคือจะตัดกระเพาะในคนไข้ที่มีโรคอ้วนรุนแรงมาก หลายคนมีโรคประจำตัวที่ทำให้การผ่าตัด มีความเสี่ยงสูงไปด้วย
แต่ปัจจุบัน การผ่าตัดกระเพาะมีความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สามารถทำการผ่าตัดแบบส่องกล้องได้แล้ว (Minimally Invasive Surgery) ซึ่งทำให้บาดแผลมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก แผลเล็กขนาดเพียง 1-2 นิ้วเท่านั้น เจ็บน้อย และสามารถฟื้นตัวได้เร็ว รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงอื่น ๆ ในการผ่าตัดได้อีกด้วย
หลังการผ่าตัดกระเพาะ นอกจากน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้ว จะทำให้โรคต่าง ๆ ที่มาพร้อมความอ้วน เช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับก็จะดีขึ้นได้ อาการของโรคนี้คือกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะกรนมาก สลับกับการหยุดหายใจ ทำให้กลางวันง่วงนอนมาก สลึมสะลือทั้งวัน มีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก เพราะไม่ค่อย active และโรคความดันสูง ควบคุมไม่ได้ หลังการผ่าตัดจะสามารถหยุดยาเบาหวาน ความดัน ไขมันและยาอื่น ๆ ที่ทานไปได้เกือบหมด สุขภาพดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- การติดเชื้อ การติดเชื้อเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้หลังการผ่าตัด แม้ว่าจะใช้เทคนิคส่องกล้องที่มีแผลขนาดเล็กก็ตาม การดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงนี้
- ภาวะขาดสารอาหาร หลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก โดยเฉพาะการผ่าตัดแบบบายพาส (Gastric Bypass) หรือแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy) ผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงในการขาดสารอาหารเนื่องจากกระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลงหรือการดูดซึมสารอาหารลดลง การขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามิน B12 ธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามิน D อาจเกิดขึ้นได้
- การเกิดลิ่มเลือด การนอนพักฟื้นนาน ๆ หลังการผ่าตัดอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด โดยเฉพาะในขา การเคลื่อนไหวเบา ๆ เช่น การเดินระยะสั้นหลังผ่าตัด จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
- ภาวะแทรกซ้อนทางเดินอาหาร เช่น การเกิดอาการอาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเสีย ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหารไม่เหมาะสมหรือเร็วเกินไปหลังผ่าตัด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและปฏิบัติตามคำแนะนำทางโภชนาการจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้
- การรั่วของแผลเย็บ แม้ว่าจะพบได้น้อย แต่การรั่วของแผลเย็บภายในกระเพาะหรือบริเวณที่ผ่าตัดต่ออาจทำให้เกิดการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ การตรวจติดตามผลอย่างสม่ำเสมอและการสังเกตอาการผิดปกติจะช่วยในการรักษาอย่างทันท่วงที
วิธีการลดความเสี่ยงผ่านการดูแลที่ดีและการติดตามผลอย่างใกล้ชิด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์และทีมแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ควรเข้ารับการตรวจติดตามผลตามนัดหมาย และปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติ
- การดูแลแผลผ่าตัด รักษาความสะอาดของแผลผ่าตัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำและสิ่งสกปรก หากพบว่ามีอาการบวมแดง ร้อน หรือมีหนอง ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
- การปรับโภชนาการ ผู้ป่วยควรปรึกษานักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำในการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุที่จำเป็น การรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะขาดสารอาหารและปัญหาทางเดินอาหาร
- การเคลื่อนไหวและออกกำลังกายเบา ๆ เริ่มเคลื่อนไหวเบา ๆ ทันทีที่ทำได้หลังการผ่าตัด เช่น การเดินระยะสั้น ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดและช่วยให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น
- การติดตามผลสม่ำเสมอ การนัดติดตามผลหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจสอบความคืบหน้าและการฟื้นตัว รวมถึงการตรวจหาและจัดการภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
- การสนับสนุนทางจิตใจ ภาวะจิตใจมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวและการปรับตัวหลังการผ่าตัด ควรมีการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุนที่สามารถช่วยให้คำแนะนำและแรงจูงใจในการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่
แม้การผ่าตัดลดน้ำหนักจะมีความเสี่ยง แต่ด้วยการเตรียมตัวที่ดี การดูแลหลังผ่าตัดอย่างถูกต้อง และการติดตามผลอย่างใกล้ชิด จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
หลังจากการผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักมีโอกาสกลับมาอ้วนได้อีกไหม?
การผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและปรับปรุงสุขภาพของผู้ที่มีภาวะอ้วนรุนแรง อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดไม่ได้เป็นวิธีการรักษาที่ถาวรและมีโอกาสที่น้ำหนักจะกลับมาเพิ่มได้อีกหากไม่มีการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถรักษาน้ำหนักได้ในระยะยาว แต่ก็มีบางรายที่พบว่าน้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นภายในไม่กี่ปีหลังผ่าตัด
ปัจจัยที่อาจทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้น
- พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกลับไปกินอาหารที่มีแคลอรีสูง ปริมาณมาก หรืออาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง การกินแบบไม่รู้สึกตัว เช่น การกินขนมจุกจิกระหว่างมื้อ หรือการกินตอนกลางคืน
- ขาดการออกกำลังกาย การขาดการเคลื่อนไหวหรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สามารถทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มได้ง่าย การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีและรักษาน้ำหนักในระยะยาว
- การปรับตัวของร่างกาย ร่างกายอาจปรับตัวต่อการลดขนาดกระเพาะ ทำให้สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นในระยะเวลาที่ผ่านไป
- ปัญหาทางจิตใจหรืออารมณ์ การรับประทานอาหารเพื่อคลายเครียด อารมณ์เศร้า หรือภาวะซึมเศร้า อาจทำให้กลับไปมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีและส่งผลต่อน้ำหนั
- ขาดการติดตามผลหลังการผ่าตัด การไม่เข้ารับการติดตามผลและคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนาการอาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ข้อเสียและผลข้างเคียงของการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการภาวะอ้วนและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม แต่เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ ก็มีข้อเสียและผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยควรทราบก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา สามารถศึกษาข้อมูลได้จากบทความ ข้อเสียของการผ่าตัดกระเพาะ หรือผลข้างเคียง มีอะไรบ้าง
ทำไมต้องผ่าตัดกระเพาะที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ มุ่งมั่นในการให้บริการที่มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุด ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
- บริการ Premium Service ดูแลใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่นี่คุณไม่ต้องรอคิวนาน และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การตรวจสุขภาพเบื้องต้นจนถึงการติดตามผลการรักษานานถึง 2 ปี - เทคนิคการผ่าตัดที่หลากหลาย
เราใช้เทคนิคที่ทันสมัย เช่น การเย็บกระเพาะอาหารแบบไร้แผล การใส่บอลลูน และเทคนิคเฉพาะ Triple Lock ที่เพิ่มความแข็งแรงของกระเพาะโดยการเย็บถึง 3 ชั้น ช่วยป้องกันกระเพาะรั่วซึมได้ดี - การรักษาตามมาตรฐานการผ่าตัดและใช้อุปกรณ์ทันสมัย
การผ่าตัดดำเนินการในโรงพยาบาลเอกชนระดับ 5 ดาว ด้วยอุปกรณ์ที่ผ่านมาตรฐาน อย. ไทยและ US FDA เพื่อสร้างความมั่นใจว่าคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีทุกขั้นตอน - ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดได้ทุกเทคนิค
นพ. ปณต ยิ้มเจริญ ผ่านการรักษามาตั้งแต่ปี 1994 สามารถผ่าตัดได้ทุกเทคนิค พร้อมให้การดูแลอย่างมืออาชีพ - เทคนิค Pain Less Pump ลดการบาดเจ็บหลังผ่าตัด
เราใช้เทคนิคใส่ยาชาแบบใหม่เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ทำให้คุณกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว - การตรวจสอบการรั่วของกระเพาะหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดจะมีการทดสอบการกลืนสารทึบแสงเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วของกระเพาะอาหาร เพิ่มความปลอดภัยก่อนออกจากโรงพยาบาล - การดูแลและติดตามผลในกลุ่มส่วนตัว
เรามีการติดตามผลในกลุ่มส่วนตัวเพื่อให้คำแนะนำในเรื่องโภชนาการและการดูแลตัวเอง พร้อมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปี
ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เรามุ่งเน้นให้บริการผ่าตัดที่ตอบโจทย์กับปัญหาของคนไข้ พร้อมดูแลคุณทุกขั้นตอนด้วยเทคโนโลยีและทีมแพทย์ที่มีความเข้าใจ
นพ. ปณต ยิ้มเจริญ สมาชิกของ Society of American Gastrointestinal and Endoscopic Surgeons (SAGES) ที่ได้รับการรับรองระดับนานาชาติ ศัลยแพทย์ที่นี่มีทักษะเฉพาะทางในการผ่าตัดส่องกล้องและการผ่าตัดผ่านกล้อง พร้อมให้การดูแลด้วยมาตรฐานสูงสุด
ทีมแพทย์ลดขนาดกระเพาะ ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
นพ. ปณต ยิ้มเจริญ
ศัลยแพทย์
น.ท.นพ. เสรษฐสิริ
พันธุ์ธนากุล
ศัลยแพทย์
ร.อ.นพ. ดุษฎี สุรกิจบวร
ศัลยแพทย์
นพ. กฤติน อู่สิริมณีชัย
อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม
พญ. ณัฐกานต์ หุ่นธานี
วิสัญญีแพทย์
พญ. สุชาดา
ประพฤติธรรม
วิสัญญีแพทย์
ปลอดภัยด้วยเทคนิค Triple Lock
ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
เทคนิคการผ่าตัดลดน้ำหนักแบบ Triple Lock เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยเทคนิคนี้เน้นการตรวจสอบความสมบูรณ์ของการผ่าตัดถึงสามชั้น ซึ่งช่วยให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ของการผ่าตัดจะสำเร็จและมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม
เทคนิค Triple Lock ประกอบด้วย
- การใช้ Stapler ตัดและเย็บกระเพาะอาหาร
ชั้นแรกของเทคนิค Triple Lock คือการใช้ Stapler ที่ช่วยในการตัดและเย็บกระเพาะอาหารเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา - การเย็บด้วยไหมละลายที่มีความแข็งแรง
หลังจากใช้ Stapler แพทย์จะทำการเย็บด้วยไหมละลายที่แข็งแรงมากเพื่อเสริมความแน่นหนาของรอยต่อ ทำให้แผลติดกันแน่นยิ่งขึ้น - การใช้กาวชีวภาพเสริมความแข็งแรง
ชั้นสุดท้ายคือการใช้กาวชีวภาพที่ทาบรอยเย็บเพื่อเสริมความแข็งแรงและป้องกันการรั่ว ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในการผ่าตัดลดน้ำหนัก
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
Biography